head prakardsod






























































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 93
1
จัดฟันบางนา: ตรวจสอบก่อนทำ อัตราความสำเร็จ ในการฝังรากฟันเทียม

ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกว่า “การฝังรากฟันเทียม” เป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างฟันเทียมทดแทนการสูญเสียฟันแท้ที่เสียไป โดยสมาคมทันตแพทย์ทั่วโลก ยกให้เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีด้านทันตกรรมที่โดดเด่นที่สุด และประสบความสำเร็จที่สุดทางด้านของนวัตกรรมทางทันตกรรม อย่างไม่มีใครคาใจ

แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังมีทางเลือกคล้ายกันในการทดแทนฟันแท้ตามธรรมชาติที่สูญเสียไปก็คือ การทำสะพานฟัน และ การใส่ฟันปลอม แต่การฝังรากฟันเทียมก็ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่สวยงามที่สุด และยังมีความสามารถในการทดแทนฟันแบบถาวรที่มีลักษณะเหมือนฟันจริงมากที่สุดอีกด้วย

ซึ่งในวันนี้จะมาขอไขข้อสงสัยที่หลายๆท่านได้ตั้งคำถามและอยากรู้เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ อัตราความสำเร็จของการฝังรากฟันเทียม มีมากน้อยเพียงใด เพื่อทำความรู้จักกับการฝังรากฟันเทียมแบบเชิงลึกให้มากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียดไว้ดังต่อไปนี้


อัตราความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียม ?

จากการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและเป็นทางการของ สมาคมศัลยแพทย์ช่องปากและใบหน้าขากรรไกร ประเทศสหรัฐอเมริกา (AAOMS) ได้กล่าวไว้อย่างน่าตกใจเกี่ยวกับอัตราความสำเร็จของการฝังรากฟันเทียมว่า ความสำเร็จในการฝังรากฟันเทียมนั้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของฟันเป็นสำคัญ โดยอัตราความสำเร็จโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 95% ในบุคคลธรรมดา แต่เนื่องจากว่าการฝังรากฟันเทียมนั้นจะต้องฝังลึกเข้าไปที่กระดูกขากรรไกร จึงไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางราย ซึ่งอัตราความสำเร็จก็จะลดน้อยลงไปด้วยในบุคคลบางกลุ่ม เช่น ในกลุ่มผู้ป่วยที่สูบบุหรี่เป็นประจำ กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยความเหมาะสมในการฝังรากฟันเทียมนั้น ทันตแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่ามีอัตราความสำเร็จมากน้อยเพียงใด และควรรับการรักษาด้วยวิธีการใดถึงจะเหมาะสมและดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย


ข้อดีของการทำรากฟันเทียม ?

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีว่าการทำรากฟันเทียมนั้นจะให้ความรู้สึกและรูปลักษณ์ที่เหมือนกับฟันจริงตามธรรมชาติมากๆ จึงทำให้ผู้ที่ทำการฝังรากฟันเทียมรู้สึกเกิดความมั่นใจมากกว่าการใส่ฟันปลอมประเภทอื่นๆ ซึ่งหลายๆท่านที่สูญเสียฟันหน้าไปมักเกิดความอายไม่มั่นใจส่งผลให้เสียบุคลิก แต่หลังจากทำการฝังรากฟันเทียมแล้วก็จะกลับมามั่นใจได้อีกครั้ง แต่นอกเหนือจากเหตุผลด้านความสวยงามแล้ว การใส่รากฟันเทียมจะทำให้คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้สะดวกไม่กังวลเหมือนการใส่ฟันปลอมแบบอื่น เพราะ การใส่รากฟันเทียมนั้นติดแน่นไม่ต่างจากฟันจริงตามธรรมชาติเลย เพราะ เสาไทเทเนียมที่ยึดติดในส่วนลึกของกระดูกขากรรไกร ทำให้ไม่เกิดการเคลื่อนที่หรือหลุดออกได้ง่ายแบบฟันปลอมปกติทั่วไป และที่สำคัญเลยคือ ไม่มีผลกระทบต่อฟันรอบข้าง เพราะไม่ใช่การยึดติดที่ต้องให้ฟันรอบข้างมาช่วยเหลือในการค้ำฟันเหมือนการทำสะพานฟันอีกด้วย


การดูแลหลังการใส่รากฟันเทียมที่ถูกต้อง ?

ต้องขอบอกเลยว่าการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปาก คือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในการฝังรากฟันเทียม ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่า รากฟันเทียม มีอายุการใช้งานกี่ปี แต่โดยเฉลี่ยที่ได้ทำการศึกษาวิจัยแล้ว รากฟันเทียมสามารถมีอายุการใช้งานถึง 10 ปี อยู่ที่ค่าเฉลี่ยประมาณ 90% และ สามารถมีอายุการใช้งานได้ถึง 15 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80%

ซึ่งการดูแลรักษาหลังจากที่ได้ทำการใส่รากฟันเทียมแล้วนั้น ถือว่าง่ายกว่าฟันปลอมแบบชนิดอื่นๆ เพราะ ให้คิดไว้เลยว่ารากฟันเทียมที่สวมใส่อยู่ คือ ฟันจริงตามธรรมชาติ โดยให้ทำการดูแลแบบเดียวกัน คือ แปรงฟันให้ถูกต้องและสะอาดทั่วถึง วันละ 2 ครั้ง (ตื่นนอน – ก่อนนอน) และให้ทำการใช้ไหมขัดฟันทุกวันหลังจากแปรงฟันก่อนนอนเสร็จแล้ว พยายามไม่กัดของที่แข็งมากๆ เช่น น้ำแข็ง เศษหินเศษกรวดในข้าว กระดูกอ่อน เป็นต้น เพราะต่อให้ฟันที่แข็งแรงเพียงใด หากกัดสิ่งของที่แข็งก็จะเสื่อมสภาพได้ง่ายและโดยเร็วได้นั่นเอง

หลังจากที่ได้ทำการฝังรากฟันเทียมมาใหม่ๆ ประมาณ 1 เดือน ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความแข็งและเหนียว ให้พยายามรับประทานของอ่อนๆ และที่สำคัญพบทันตแพทย์ให้ครบทุกครั้งที่มีการนัดหมาย รวมถึงตรวจสุขภาพช่องปากทุกๆ  6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพียงเท่านี้ท่านจะหมดปัญหาในช่องปากเพิ่มขึ้นและยืดอายุของรากฟันเทียมได้อีกนาน

2
วัดเพลง ไหว้พระทำบุญ วัดสวย นนทบุรี ใกล้กรุงเทพ กับ โบสถ์สีชมพู ที่ไม่เหมือนใคร

วัดเพลง ตั้งอยู่ในตำบลไทรม้า อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและมีความโดดเด่นจาก "โบสถ์สีชมพู" ที่ไม่เหมือนใคร


ประวัติและสถาปัตยกรรม

วัดเพลงเป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาที่ถูกทิ้งร้างไปนานกว่า 200 ปี

อุโบสถสีชมพูถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยความศรัทธาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เนื่องจากสีชมพูเป็นสีประจำพระองค์


การทำบุญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ภายในอุโบสถประดิษฐาน "หลวงพ่อโต" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่

มีพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 และพระสังกัจจายน์ประดิษฐานให้ประชาชนได้กราบไหว้ขอพร

วัดเพลงจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่เหมาะสำหรับสายบุญและผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ด้วยความสวยงามแปลกตาของโบสถ์สีชมพูและบรรยากาศที่สงบเงียบ

3
วิธีสร้างอาชีพเสริม รายได้พิเศษจากการขายอาหารริมทางเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ ใช้เงินลงทุนไม่สูง

การขายอาหารริมทางเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการสร้างรายได้พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเสริมหรือธุรกิจเต็มเวลา ด้วยความต้องการอาหารที่สะดวกและอร่อยที่เพิ่มมากขึ้น อาหารริมทางจึงกลายเป็นโอกาสที่ทำกำไรได้สำหรับผู้ประกอบการ การหารายได้เสริมจากการขายอาหารสตรีทฟู้ดเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ เพราะใช้เงินลงทุนไม่สูงมากและหากมีทำเลที่ดีและรสชาติอร่อย ก็สามารถสร้างรายได้งาม ๆ ได้เลย

ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญบางประการในการเริ่มต้นและประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้

1. เลือกอาหารที่เหมาะสมที่จะขาย
การเลือกประเภทอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ พิจารณาอาหารยอดนิยมและทำง่าย เช่น เสียบไม้ย่าง ของทอด อาหารเส้น หรืออาหารพิเศษประจำท้องถิ่น เน้นที่อาหารที่เป็นที่ต้องการในพื้นที่ของคุณและสอดคล้องกับทักษะการทำอาหารและงบประมาณของคุณ

2. ทำความเข้าใจกฎระเบียบในท้องถิ่น
ก่อนเริ่มต้น ตรวจสอบกฎหมายและกฎระเบียบในท้องถิ่นเกี่ยวกับการขายอาหารริมทาง ขอใบอนุญาตที่จำเป็น ใบรับรองความปลอดภัยด้านอาหาร และใบอนุญาตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย

3. ค้นหาทำเลที่เหมาะสม
พื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นเพิ่มโอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จ พิจารณาสถานที่ใกล้กับสำนักงาน โรงเรียน ตลาด หรือสถานที่จัดงานที่ผู้คนเดินผ่านไปมาบ่อยๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นที่ที่คุณเลือกได้รับอนุญาตให้ติดตั้งได้

4. ลงทุนในอุปกรณ์และส่วนผสม
ซื้ออุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องมือ และภาชนะจัดเก็บที่จำเป็น รักษาส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารที่อร่อยและปลอดภัย การมีแผงขายอาหารที่สะอาดและเป็นระเบียบสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น

5. กำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้
ราคาของคุณควรสมเหตุสมผลและสามารถแข่งขันได้ พิจารณาต้นทุนของส่วนผสม เวลาในการเตรียม และราคาของคู่แข่ง การเสนออาหารชุดหรือส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อจำนวนมากสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้

6. โปรโมตธุรกิจของคุณ
ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อจัดแสดงอาหารของคุณและดึงดูดลูกค้า โพสต์ที่น่าสนใจ รูปภาพที่น่าดึงดูด และโปรโมชั่นสามารถช่วยกระจายข่าวเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้

7. เน้นที่สุขอนามัยและการบริการลูกค้า
แผงขายที่สะอาดและถูกสุขอนามัยช่วยเพิ่มความไว้วางใจของลูกค้า สวมถุงมือ ใช้ส่วนผสมสด และรักษาความสะอาดในการเตรียมอาหาร นอกจากนี้ บริการที่เป็นมิตรและรวดเร็วสามารถช่วยสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีได้

8. นำเสนออาหารที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณภาพสูง
หากต้องการโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ให้พิจารณานำเสนออาหารที่มีรสชาติเฉพาะตัว อาหารฟิวชั่น หรือทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ การให้บริการอาหารที่มีคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

9. ขยายธุรกิจของคุณ
เมื่อคุณสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงได้แล้ว ให้พิจารณาขยายธุรกิจโดยเสนอบริการจัดส่ง จัดเลี้ยง หรือเปิดสาขาหลายแห่ง การเป็นพันธมิตรกับแอปจัดส่งอาหารยังช่วยเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารริมทางต้องใช้ความพยายาม ความทุ่มเท และความคิดสร้างสรรค์ คุณสามารถเปลี่ยนความหลงใหลในการทำอาหารให้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่ประสบความสำเร็จได้ โดยการเลือกอาหารที่เหมาะสม ปฏิบัติตามกฎระเบียบ รักษาความสะอาด และส่งเสริมการขายอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการขายอาหารริมทางแบบพาร์ทไทม์หรือฟูลไทม์ การขายอาหารริมทางสามารถเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนและทำกำไรได้


4
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไข้หวัดใหญ่ (Influenza/Flu)

ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์สูงในช่วงฤดูฝน (มิถุนายนถึงตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคมถึงมีนาคม) บางปีอาจพบมีการระบาดใหญ่

พบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลันร่วมกับการปวดเมื่อยตามตัวที่พบในคนทั่วไป


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) เชื้อนี้จัดอยู่ในกลุ่มไวรัสที่เรียกว่า orthomyxovirus
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เอ บี และ ซี

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ มักก่อให้เกิดอาการรุนแรง อาจพบระบาดได้กว้างขวาง และสามารถกลายพันธุ์แตกแขนงเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ ได้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดบี ก่อความรุนแรงและการระบาดของโรคได้น้อยกว่าเอ สามารถกลายพันธุ์ได้แต่ไม่มากเท่าชนิดเอ ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดซี มักก่อให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยและไม่ค่อยพบระบาด
 
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สามารถพบได้ทั้งในคนและสัตว์ (ส่วนอีก 2 ชนิดพบเฉพาะในคนเท่านั้น) แบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ โดยมีชื่อเรียกตามชนิดของโปรตีนที่พบบนผิวของเชื้อไวรัส โปรตีนดังกล่าวมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ฮีแม็กกลูตินิน (hemagglutinin เรียกย่อว่า H) ซึ่งมีอยู่ 16 ชนิดย่อย และนิวรามินิเดส (neuraminidase เรียกย่อว่า N) ซึ่งมีอยู่ 9 ชนิดย่อย ในการกำหนดชื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ จึงใช้ตัวอักษร H ควบกับ N โดยมีตัวเลขกำกับท้ายตัวอักษรแต่ละตัว ตามชนิดของโปรตีน เช่น

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 (สายพันธุ์เก่า) เป็นต้นเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี พ.ศ. 2461-2462 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 20-40 ล้านคน เนื่องจากมีต้นตอจากสเปน จึงมีชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) และกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2520 เนื่องจากมีต้นตอจากรัสเซียจึงเรียกว่า ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย

ในปี พ.ศ. 2552 มีการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 สายพันธุ์ใหม่ (สายพันธุ์ 2009)* ซึ่งมีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เก่า มีต้นตอจากประเทศเม็กซิโก**

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H2N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่เอเชีย ในปี พ.ศ.2500-2501 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 1 ล้านคน
    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ในปี พ.ศ.2511-2512 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 7 แสนคน
    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H5N1 เป็นต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก หรือไข้หวัดนก

วิธีการแพร่เชื้อ เชื้อไข้หวัดใหญ่จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ แบบเดียวกับไข้หวัด

นอกจากนี้ เชื้อไข้หวัดใหญ่ยังสามารถแพร่กระจายทางอากาศ (airborne transmission) กล่าวคือ เชื้อจะติดอยู่ในฝอยละอองขนาดเล็ก (ขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน) เมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อสามารถกระจายออกไประยะไกลและแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนอื่นสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องไอหรือจามรดใส่กันตรง ๆ ก็สามารถติดโรคได้ ดังนั้น โรคนี้จึงสามารถระบาดได้รวดเร็ว
ระยะฟักตัว 1-4 วัน (ส่วนน้อยอาจนานเกิน 7 วัน)

*เป็นสายพันธุ์ H1N1 ที่กลายพันธุ์ ประกอบด้วยสารพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่พบในหมู สัตว์ปีกและคน
**เชื้อสามารถแพร่กระจายตั้งแต่ 1 วัน ก่อนมีอาการ แพร่ได้มากสุดใน 3 วันแรกของการเจ็บป่วย และอาจแพร่ได้ถึงวันที่ 7 ของการเจ็บป่วย


อาการ

มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก (โดยเฉพาะที่กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน

แต่บางรายก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่ไข้หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก

อาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-7 วัน (ที่พบบ่อยคือ 3-5 วัน)

อาการไอ และอ่อนเพลีย อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่น ๆ จะทุเลาแล้วก็ตาม

บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการบ้านหมุน เนื่องจากอาการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อน เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ปวดหู หูอื้อ หายใจหอบเหนื่อย เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมพอง

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากแบคทีเรียพวกนิวโมค็อกคัส หรือสแตฟีโลค็อกคัส (เชื้อชนิดหลังนี้ มักจะทำให้เป็นปอดอักเสบร้ายแรงถึงตายได้) บางรายก็อาจจะเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) สมองอักเสบ หลอดเลือดดำอักเสบร่วมกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thrombophlebitis) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ปอดอักเสบ) มักจะเกิดในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 2 ปี), ผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี), หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดไม่เกิน 14 วัน, คนอ้วน (มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กก./เมตร2), เด็กที่มีพัฒนาการช้าหรือมีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง, ผู้ที่เป็นเบาหวาน มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง หรือโรคไตเรื้อรัง, ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ)

ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่น ๆ ยกเว้นในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ก็อาจตรวจพบอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น แพทย์ทำการฟังปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ในผู้ที่เป็นปอดอักเสบ เสียงอึ๊ด (rhonchi) ในผู้ที่เป็นหลอดลมอักเสบ เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัดด้วยการตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในน้ำมูก หรือเสมหะในจมูกหรือคอหอย

ในรายที่จำเป็นต้องทำการวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง จะทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสารคัดหลั่งที่จมูกหรือในลำคอ ซึ่งเก็บตัวอย่างโดยการใช้ไม้ป้ายจมูก/คอ (nasal/throat swab)


การรักษาโดยแพทย์

1. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ (มีอาการหายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก), ค่าระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 95%, กินได้น้อยจนมีภาวะขาดน้ำ, ซึมมากหรือมีอาการทางระบบประสาท เป็นต้น แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

2. ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เพื่อลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส-โอเซลทามีเวียร์ทุกรายในทุกระยะของโรค รวมทั้งผู้ที่มีอาการมานานกว่า 48 ชั่วโมง ถ้าหลังให้ยารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรงขึ้น แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

3. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง (ยังกินอาหาร ดื่มน้ำ และเดินเหินได้เป็นปกติ) ซึ่งมักหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้การรักษาดังนี้

    ให้ยาบรรเทาตามอาการ เช่น พาราเซตามอลบรรเทาไข้ ยาแก้ไอ
    ในรายที่มีอาการไข้มานานไม่เกิน 48 ชั่วโมง (โดยแพทย์ตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือวินิจฉัยจากอาการและจากประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่) แพทย์จะพิจารณาให้ยาโอเซลทามีเวียร์เพื่อขจัดเชื้อไวรัส ช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น แต่ถ้ามีอาการนานเกิน 48 ชั่วโมง ก็จะให้ยาบรรเทาตามอาการเท่านั้น เพราะการให้ยาต้านไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น
    ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ (มีอาการปวดหัวคิ้วหรือโหนกแก้ม) หูชั้นกลางอักเสบ (มีอาการปวดหู หูอื้อ) เป็นต้น แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ (โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากไวรัส ยาปฏิชีวนะซึ่งใช้ขจัดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังอาจเกิดโทษจากผลข้างเคียงของยาได้อีกด้วย)
    ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือหลังให้ยาต้านไวรัสแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการเจ็บหน้าอกมาก หอบหรือหายใจเร็ว* หรือสงสัยปอดอักเสบ โดยเฉพาะถ้าพบในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น ถ้าพบว่าเป็นปอดอักเสบก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ และรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

4. ถ้าสงสัยเป็นโรคอุบัติใหม่ (เช่น โรคโควิด-19 ไข้หวัดนก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ บางกรณีอาจต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ หรือให้ยาต้านไวรัสสำหรับกลุ่มเสี่ยง มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ หรือมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*มีเกณฑ์ที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยมีอาการหอบหรือหายใจเร็ว ดังนี้ เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที, 2 เดือน-1 ปี มากกว่า 50 ครั้งต่อนาที, 1-5 ปี มากกว่า 40 ครั้งต่อนาที, > 5 ปี มากกว่า 30 ครั้งต่อนาที, เด็กโตและผู้ใหญ่มากกว่า 24 ครั้งต่อนาที


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการไข้หรือไข้หวัด แต่มีไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัวมาก ต้องนอนพัก หรือมีคนข้างเคียงเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดนก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

    นอนพักมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนัก
    ห้ามอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    กินอาหารอ่อน (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มนม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้มาก ๆ
    ดูแลรักษาและใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ

ควรกลับไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว
    มีอาการปวดไซนัส (บริเวณโหนกแก้ม หรือหัวคิ้ว) หรือปวดหู หูอื้อ
    เจ็บหน้าอกมาก หรือหายใจหอบเหนื่อย
    เบื่ออาหาร ดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดินมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    มีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว หรือมีเลือดออก หรือสงสัยเป็นไข้เลือดออก
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

1. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3-4 สายพันธุ์ที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ (H1N1 และ H3N2) และชนิดบี 1-2 สายพันธุ์ มักจะฉีดในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของเชื้อเหล่านี้

โดยทั่วไป ถ้าไม่มีการระบาดก็ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่คนทั่วไป ยกเว้นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่จะเดินทางไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค ผู้ที่มีกิจกรรมจำเป็นที่ไม่อาจจะหยุดงานได้ (เช่น ตำรวจ นักแสดง นักกีฬา นักเดินทาง) ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปีที่ต้องกินแอสไพรินเป็นประจำ


การฉีดวัคซีนแต่ละครั้ง สามารถป้องกันได้นาน 1 ปี ถ้าจำเป็นควรฉีดปีละครั้งในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน

2. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

3. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรปฏิบัติดังนี้

    หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ ห้องประชุม โรงพยาบาล เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย
    อยู่ห่างจากผู้ที่มีไข้ ไอ จาม หรือน้ำมูกไหล มากกว่า 1-2 เมตร
    หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่นาน 20 วินาที แล้วใช้กระดาษเช็ดให้แห้ง หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์ เจลแอลกอฮอล์ หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ (ที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้นมากกว่าร้อยละ 70) แล้วปล่อยให้ระเหยแห้งเอง โดยไม่ต้องใช้กระดาษเช็ด
    หลีกเลี่ยงการใช้มือจับตามใบหน้า ขยี้ตา แคะไชจมูก ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรล้างมือให้สะอาดเสียก่อน
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู หรือใช้ข้อศอกปิดปากและจมูก


ข้อแนะนำ

1. สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง ส่วนมากให้การดูแลรักษาตามอาการ ไข้มักหายได้เองภายใน 3-5 วัน หรือไม่เกิน 7 วัน ข้อสำคัญต้องนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ และห้ามอาบน้ำเย็น ถ้าไข้ลดลงแล้วควรอาบน้ำอุ่นอีก 3-5 วัน

ผู้ป่วยบางรายหลังจากหายตัวร้อนแล้ว อาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาวอยู่เรื่อย ๆ อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง

สำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ที่สำคัญได้แก่ ปอดอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

2. อาการไข้สูงและปวดเมื่อย โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจน อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ในระยะเริ่มแรกก็ได้ เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส ตับอักเสบจากไวรัส ไข้เลือดออก หัด มาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น จึงควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการอื่น ๆ ปรากฏให้เห็น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาที่เหมาะสม

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่มักมีไข้ไม่เกิน 7 วัน ผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่หากมีไข้เกิน 7 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาสาเหตุจากโรคอื่น เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส มาลาเรีย วัณโรคปอด เป็นต้น (ตรวจอาการไข้ และไข้ร่วมกับน้ำมูกหรือไอ ประกอบ)

4. ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ บางครั้งอาจมีอาการคล้ายกันมาก แต่ไข้หวัดใหญ่มักมีไข้สูง ปวดเมื่อยมาก นอนซม เบื่ออาหาร หากสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

5. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

5
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)
วิธีขายอาหารจากครัวของคุณสามารถให้ผลตอบแทนและกำไรได้ กุญแจสู่ความสำเร็จในการขายอาหารจากครัวในบ้านของคุณ
สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


6
บริการรถรับจ้างย้ายบ้านจังหวัดตราด: ภาคตะวันออกขนส่งที่มีคุณภาพ ราคาถูกใจลูกค้า

บริการขนย้ายบ้านจังหวัดตราด : ภาคตะวันออกทุกจังหวัด

1: ความสำคัญของการเลือกบริการขนย้ายบ้านที่มีคุณภาพ

การเริ่มต้นใหม่ในบ้านใหม่เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและท้าทายในชีวิตของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยงานที่ต้องทำ เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องจัดวาง และสิ่งอื่น ๆ ที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนการย้ายถิ่นฐาน ด้วยเหตุนี้การเลือกบริการขนย้ายบ้าน ที่มีคุณภาพเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

เมื่อคุณเลือกบริการขนย้ายบ้านที่มีคุณภาพสูง คุณจะได้รับประสบการณ์บริการ รถรับจ้างขนย้ายบ้านจังหวัดตราด ที่ราบรื่นและไร้ปัญหาในขณะที่ของคุณถูกขนส่งจากบ้านเดิมไปยังบ้านใหม่ของคุณ บริการที่มีคุณภาพสามารถรับผิดชอบต่อของคุณได้อย่างเต็มที่ และมีความรอบคอบในการดูแลความปลอดภัยของของคุณในระหว่างการขนส่ง

หากคุณกำลังมองหาบริการขนย้ายบ้านในตราด ด้วย รถหกล้อขนของย้ายบ้านจังหวัดตราด หรือ รถกระบะขนของย้ายบ้านจังหวัดตราด คุณอาจกังวลเกี่ยวกับความเชื่อถือได้ของบริษัท ราคาที่คุณพร้อมจ่าย และคุณภาพของการบริการที่คุณจะได้รับ ต่อไปนี้เราจะสอบถามข้อเสนอแนะที่สำคัญในการเลือกบริการขนย้ายบ้านในตราดที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม โดยให้คุณมั่นใจว่าคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดและผลลัพธ์ที่น่าพอใจ


2: การเลือกบริการขนย้ายบ้านที่มีคุณภาพตราด

ความสำคัญของความเชื่อถือได้ในบริการขนย้ายบ้าน

เมื่อคุณต้องการให้ของคุณถูกขนส่งให้ถึงปลายทางอย่างปลอดภัย ความเชื่อถือได้ในบริการขนย้ายบ้านจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง การเลือกบริษัท รถรับจ้างขนย้ายบ้านจังหวัดตราด ที่มีความเชื่อถือได้จะช่วยให้คุณมั่นใจในการขนส่งของคุณ คุณสามารถตรวจสอบรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าที่ผ่านมาเพื่อประเมินประสิทธิภาพและคุณภาพของบริการได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถสอบถามบุคคลในสังคมหรือกลุ่มชุมชนที่คุณเชื่อถือเกี่ยวกับบริษัทที่คุณกำลังสนใจ การเลือกบริการขนย้ายบ้านที่มีความเชื่อถือได้จะช่วยให้คุณมั่นใจและปลอดภัยในการขนส่งของคุณ

การคำนึงถึงราคาที่เหมาะสมในการขนย้ายบ้าน

การเลือกบริการขนย้ายบ้านที่มีราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอีกด้านหนึ่ง เมื่อคุณเริ่มต้นการขนส่งของคุณ คุณอาจต้องใช้งบประมาณที่จำกัด และคุณต้องการให้ราคาของบริการสอดคล้องกับคุณภาพที่คุณคาดหวัง ในการค้นหาบริการขนย้ายบ้านที่มีราคาที่เหมาะสม คุณควรจะเปรียบเทียบราคาระหว่างบริษัทต่าง ๆ เพื่อหาบริการที่มีคุณภาพและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ

   
3 : บริการขนส่งในตราดที่คุณสามารถใช้ได้

บริการขนส่งทางบกเป็นตัวเลือกที่คุณควรพิจารณาเมื่อคุณต้องการขนส่งของคุณในตราด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการขนส่งของที่มีขนาดใหญ่ รถหกล้อขนของย้ายบ้านจังหวัดตราด เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของที่ต้องการบรรจุและขนส่งไปยังบ้านใหม่ของคุณ การเลือกบริการขนส่งทางบกที่มีรถรับจ้างขนย้ายบ้านที่มีขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก 6 ล้อ จะช่วยให้คุณสามารถขนส่งของคุณได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ


4: ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีกับบริการขนส่งในตราด


"ฉันใช้บริการ รถรับจ้างขนย้ายบ้านจังหวัดตราด ขนส่งในตราดเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วเมื่อฉันย้ายบ้านใหม่ ไปที่จังหวัดชลบุรี ฉันเลือกบริษัทที่มีความเชื่อถือได้และได้รับข้อมูลจากเพื่อนบ้านที่ใช้บริการเดียวกัน การขนส่งเป็นที่น่าพอใจมาก คนขนส่งเป็นมืออาชีพและช่วยให้ของของฉันถูกจัดส่งไปยังบ้านใหม่ได้อย่างปลอดภัยและประทับใจ ฉันโปรดที่ได้เลือกบริการที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้การย้ายของฉันเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย" พร้อมทั้งจ้าง รถรับจ้างขนของชลบุรี ย้ายกลับมาที่ตราดอีกครั้งของที่นี่


5: สรุปรถรับจ้างขนย้ายบ้านจังหวัดตราด

การเลือกบริการขนย้ายบ้านที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรพิจารณาเมื่อคุณต้องการย้ายบ้านในตราด รถหกล้อขนของย้ายบ้านจังหวัดตราด ความเชื่อถือได้ในบริการและความสมดุลของราคาจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจ คุณควรเลือกบริการที่มีความเชื่อถือได้และสามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างเหมาะสมขนส่ง ด้วยประสบการณ์ลูกค้าที่ดีและการสนับสนุนลูกค้าที่เป็นเอกชน คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการเลือกบริการขนย้ายบ้านในตราดของคุณจะมีผลลัพธ์ที่ดีและทำให้คุณพอใจ




 

7
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


8
รถหกล้อรับจ้างอุบลราชธานี รับจ้างขนของ รถรับจ้างย้ายบ้าน หอ รถรับจ้างทั่วไป ราคาประหยัด
   
รถรับจ้างอุบลราชธานี

อุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การท่องเที่ยว หรือการพัฒนาสาธารณูปโภค การเจริญเติบโตนี้ส่งผลให้ความต้องการบริการต่าง ๆ ในจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการขนส่งและรถรับจ้าง ความเจริญเติบโตของอุบลราชธานีทำให้มีการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจและการลงทุนในพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้มีการ ย้ายเข้า-ย้ายออก อย่างต่อเนื่อง การย้ายบ้าน ย้ายหอพัก หรือการขนของไปยังที่ต่างๆ มีมากขึ้น บริการรถรับจ้างอุบลราชธานี จึงเป็นส่วนสำคัญในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการรถรับจ้าง

   
รถรับจ้างอุบลราชธานี

ขนส่ง มีบริการที่หลากหลายและครอบคลุมทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการขนของทั่วไป เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการ ย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ซึ่งต้องการการจัดการอย่างระมัดระวังและเป็นมืออาชีพ เพื่อให้การขนย้ายเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย รถรับจ้างอุบลราชธานี สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่บริการขนส่งสินค้าขนาดเล็กไปจนถึงสินค้าขนาดใหญ่ ที่มีปริมาณมากๆ พร้อมทั้งมีตัวเลือกที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการเฉพาะของลูกค้าได้เป็นอย่างดีค่ะ

   
รถรับจ้างทั่วไปอุบลราชธานี ใกล้ฉัน

บริการ รถรับจ้างทั่วไปอุบลราชธานี ใกล้ฉัน ของที่นี่มีหลากหลายประเภท ให้เลือกใช้บริการขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าค่ะ โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความเหมาะสมที่แตกต่างกันเพื่อให้การขนส่งของคุณเป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ มาดูกันว่า มีรถรับจ้างอะไรบ้างค่ะ

    รถกระบะรับจ้าง : สำหรับการขนของที่มีขนาดไม่ใหญ่มากค่ะ เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
    รถหกล้อรับจ้าง : จะเน้นไปที่การขนของที่มีปริมาณมาก และขนาดใหญ่ สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการขนย้ายในระยะทางไกล
    รถสิบล้อรับจ้าง : เหมาะสำหรับการขนของจำนวนมากหรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะๆ สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 15 ตัน
    รถเทรลเลอร์รับจ้าง : เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่หรือหนักที่ต้องการการจัดการพิเศษ
    รถเฮี๊ยบรับจ้าง : ใช้สำหรับยกของหนักขึ้นที่สูง มีหลายขนาด เฮี๊ยบหกล้อ เฮี๊ยบสิบล้อ เฮี๊ยบสิบสองล้อ แต่ละขนาดสามารถยกน้ำหนักได้แตกต่างกัน

   
รถรับจ้างอุบลราชธานี ราคาถูก

หนึ่งในข้อดีที่สำคัญของการเลือกใช้บริการ รถรับจ้างอุบลราชธานี ขนส่ง คือการมีราคาที่ประหยัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สูงขึ้น การเลือกบริการ รถรับจ้างอุบลราชธานี ราคาถูก ที่มีราคาย่อมเยาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้เหมาะสมกับงบประมาณของลูกค้าต่าง ๆ การมีตัวเลือกในเรื่องของราคาไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสามารถเลือกบริการที่ตรงตามความต้องการของคุณได้ แต่ยังช่วยลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นของคุณได้ค่ะ

   
รถรับจ้างอุบลราชธานี ไปต่างจังหวัด

แน่นอนค่ะว่า การขนย้ายของ ไม่ได้จำกัดแค่เพียงขนย้ายภายในจังหวัดอุบลราชธานีเท่านั้น ยังมี รถรับจ้างอุบลราชธานี ไปต่างจังหวัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการขนย้ายของไปยังพื้นที่อื่น ๆ อย่างสะดวกและปลอดภัย สำหรับการขนย้ายไปต่างจังหวัด บริการรถรับจ้างอุบลราชธานี ก็มีความพร้อมในการให้บริการที่ครอบคลุม เช่น การขนส่งไปยังจังหวัดใกล้เคียงหรือจังหวัดที่ไกลออกไป สำหรับลูกค้าที่ต้องการขนย้ายของจากอุบลราชธานีไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ทุกๆจังหวัดภายในประเทศ การเลือกใช้บริการที่มีความสะดวกและปลอดภัยจะช่วยให้การขนย้ายของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและตรงตามความต้องการของคุณค่ะ

   
รถรับจ้างอุบลราชธานี ขนของ ย้ายบ้าน และราคาประหยัด

บริการรถรับจ้างอุบลราชธานี ครอบคลุมทั้งการขนของทั่วไป การย้ายบ้านและหอพัก โดยมีตัวเลือกหลากหลาย เช่น รถกระบะ รถหกล้อ รถสิบล้อ รถเฮี๊ยบ และรถเทรลเลอร์ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า จุดเด่นของบริการ รถรับจ้างอุบลราชธานีขนส่ง คือราคาที่ประหยัดและเหมาะสมกับงบประมาณของลูกค้า ซึ่งช่วยให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการบริการที่ดีและรวดเร็ว ทั้งนี้บริการยังรวมถึงการขนย้ายไปยังต่างจังหวัดด้วย

9
จัดฟันบางนา: เครื่องมือการจัดฟันแบบใส สามารถรับไปทั้งหมดภายในครั้งเดียวได้หรือไม่

การเข้ารับการจัดฟันแบบใส การรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ต้องบอกว่ามีหลายคนให้ความสนใจเพราะเนื่องจากการจัดฟันแบบใส มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบใหม่เข้ามาช่วยในการรักษา ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนการรักษาจนไปถึงขั้นตอนการรักษาเลยทีเดียว ดังนั้น ทำให้ผลการรักษาของการจัดฟันแบบใสมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นและสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดฟันแบบใสมีจุดเด่นและข้อดีก็คือผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้เมื่อต้องรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน นี่ถือเป็นข้อดีที่มีความแตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่น เพราะการจัดฟันแบบใส สามารถตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี และยังช่วยทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ โดยไม่มีผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันเลย นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใสจึงมีลักษณะพิเศษ คือมีความใสบาง

เมื่อผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่แล้วจะทำให้รู้สึกกระชับและสบายช่องปากมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่มีปัญหาในเรื่องของการออกเสียงการพูดเพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจะมีปัญหาในเรื่องของการออกเสียงทำให้พูดไม่ชัด ทำให้เกิดการเสียบุคลิกภาพและรู้สึกไม่มั่นใจเวลาที่ต้องพูด แต่สำหรับการจัดฟันแบบใสแล้วด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะบุคคล จะทำให้รู้สึกสบายสวมใส่ได้อย่างกระชับ โดยไม่มีปัญหาในเรื่องของการพูดการออกเสียงทำให้มีความมั่นใจตลอดเวลาที่สวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน

ถ้าหากพูดถึงเรื่องเครื่องมือการจัดฟันแล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันส่วนใหญ่มีคำถามว่าการเข้ารับการจัดฟันแบบใสโดยปกติแล้วเราจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อรับเครื่องมือชุดถัดไป แต่ก็มีคนสงสัยว่าการจัดฟันแบบใสนั้นเราสามารถรับเครื่องมือทั้งหมดไปในครั้งเดียวได้หรือไม่ วันนี้ทางคลินิกของเรามีคำตอบมาให้สำหรับใครที่สงสัยเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัวขณะการเข้ารับการจัดฟันแบบใส

สำหรับคำถามที่ใครคนถามว่าเราสามารถขอรับเครื่องมือจากทันตแพทย์ไปทั้งหมดได้หรือไม่ คำตอบก็คือ โดยส่วนใหญ่แล้วทันตแพทย์จะไม่แนะนำ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้เข้ารับการจัดฟันเอง ดังนั้น ควรกลับมาพบทันตแพทย์ตามระยะเวลาที่นัดหมาย เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ทำการติดตามดูการเคลื่อนไหวของตัวฟันและดูความแนบกระชับของเครื่องมือการจัดฟันด้วยเพื่อให้เครื่องมือการจัดฟันสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แต่ถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันจำเป็นจะต้องเดินทางหรือไม่มีเวลาที่จะเข้าพบทันตแพทย์ ก็สามารถขอรับเครื่องมือการจัดฟันแบบใสหลายๆชุดในครั้งเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส เพื่อให้เครื่องมือการจัดฟันได้ทำงานกระตุ้นการเคลื่อนตัวของฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์ได้ทำการวางไว้ เพราะฉะนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสควรสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันวันละ 22 ชั่วโมงต่อวัน หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส

สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานเกี่ยวกับด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้บริการทางด้านทันตกรรมได้ครบวงจรและมีความปลอดภัย ทั้งนี้ ทางคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign เพื่อให้เข้ารับการจัดฟันได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสากลและยังมีความน่าเชื่อถือเพราะการจัดฟันแบบใสนั้น จะต้องได้รับการรักษาจากทันตแพทย์ที่ผ่านการรับรองเท่านั้น

เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย และทางทันตแพทย์ของเรายังสามารถให้คำปรึกษาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้องและเป็นกันเอง จึงทำให้มั่นใจได้ว่าหากคุณเข้ารับการรักษาจากทางคลินิกของเรา คุณจะมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติและสามารถใช้ชีวิตชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

10
เทคนิคเลือกฉนวนกันความร้อน โรงงานแบบง่าย ๆ แต่ได้คุณภาพ

การวางแผนติดตั้ง ฉนวนกันความร้อนโรงงาน นั้น ถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมทุกคนจำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบ เพราะต้องใช้งบประมาณสูง และมีขั้นตอนระยะเวลาในการติดตั้ง ซึ่งหากเลือกฉนวนกันความร้อนผิด ตัดสินใจใช้งาน ฉนวนกันความร้อนโรงงาน ที่ไม่มีคุณภาพดีมากพอ นอกจากจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการแล้ว ก็ยังต้องเสียเวลา เสียงบประมาณในการรื้อถอนติดตั้งใหม่อีก

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลือกฉนวนกันความร้อนเพื่อใช้ในโรงงานของตัวเอง จึงต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน ให้ได้ฉนวนที่มีคุณภาพ ซึ่งมีเทคนิคง่าย ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถเลือกฉนวนที่มีคุณภาพดีได้แน่นอน ดังต่อไปนี้

1.พิจารณาค่า R ของฉนวนกันความร้อนโรงงาน

ฉนวนกันความร้อนที่ดี คือ ฉนวนที่มีความสามารถในการกันความร้อนที่สูง ยิ่งกันความร้อนได้สูงเท่าไร ก็ถือว่าเป็นฉนวนที่มีคุณภาพมากเท่านั้น โดยทั่วไปแล้ววิธีการดูความสามารถในการกันความร้อนของฉนวนง่าย ๆ คือ ดูที่ค่า R หรือค่าต้านทานความร้อน ซึ่งมักจะระบุไว้ที่ตัวฉนวน ที่กล่องหรือคำอธิบายของผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้ค่า R นี้เป็นตัวเปรียบเทียบตัวเลือกฉนวนกันความร้อนได้เลยว่า ฉนวนกันความร้อนแบรนด์ไหนดีกว่ากัน


2.สังเกตความหนาของฉนวนกันความร้อนโรงงาน

จุดสังเกตอีกข้อหนึ่งที่ชัดเจนและดูได้ง่ายที่สุดของการเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพก็คือ “ความหนาของฉนวน” การที่ฉนวนกันความร้อนจะมีค่า R ที่สูง ที่ทำให้มีความสามารถในการกันความร้อนได้ดีนั้น ฉนวนกันความร้อนนั้นจะมีความหนามากกว่าฉนวนทั่วไป กล่าวคือ ยิ่งฉนวนบางยิ่งกันความร้อนได้น้อย ยิ่งฉนวนหนายิ่งกันความร้อนได้มากนั่นเอง


3.เป็นฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ไม่ลามไฟ

ฉนวนกันความร้อนที่ใช้ภายในโรงงานั้น จะต้องอยู่ใกล้กับเครื่องจักร ใกล้กับพื้นที่อุณหภูมิความร้อนสูง ดังนั้น คุณสมบัติไม่ลามไฟ จึงเป็นอีกจุดสำคัญที่ควรมีในฉนวนที่เลือกใช้ เพื่อป้องกันความรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุ เกิดอัคคีภัยขึ้น ไม่ให้ไฟลุกลามจนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

โดยการสังเกตว่าฉนวนกันความร้อนใดที่มีคุณสมบัติไม่ลามไฟนั้น สามารถทำได้ด้วยการมองหาสัญลักษณ์ หรือข้อความผ่านมาตรฐาน ASTM E84 และ BS476 หากเห็นฉนวนกันความร้อนใดมีข้อความมาตรฐานตามนี้ล่ะก็ แสดงว่าฉนวนนั้นไม่ลามไฟ และเหมาะใช้กับทุกพื้นที่ภายในโรงงานอุตสาหกรรม


4.เลือกฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

อายุการใช้งานของฉนวนกันความร้อนนั้นส่วนใหญ่จะใช้กันนานเป็นสิบ ๆ ปี และฉนวนกันความร้อนจะติดอยู่ในพื้นที่โรงงาน อยู่รายล้อมการทำงานของพนักงานทุกวัน ซึ่งการที่ฉนวนถูกความร้อนนั้น ย่อมมีโอกาสทำให้ฉนวนระเหยเอาสารเคมี เอาฝุ่นจากเนื้อฉนวนปะปนมาในอากาศ ซึ่งหากฉนวนกันความร้อนมีสารเคมี หรือมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ก็จะถือว่าเป็นอันตรายได้

ดังนั้น คุณสมบัติของหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญกับการเลือกฉนวนกันความร้อน คือ เลือกที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วย

4 เทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นแนวทางในการคัดเลือกฉนวนกันความร้อนโรงงานแบบง่าย ๆ ที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถทำได้ แม้จะไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่ก็การันตีได้ว่า ถ้าเลือกตามกรอบแนวทางนี้ จะได้ฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกฉนวนก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญคือ ต้องติดตั้งอย่างถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นต่อให้ฉนวนดีแค่ไหน แต่ติดตั้งไม่ถูกไม่ดี ไม่มีการวางแผนที่เหมาะกับพื้นที่ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความร้อนได้

11
อาหารปั่นผสม อาหารสายยาง อาหารทางการแพทย์ สามารถทำเองได้

อาหารสายยาง อาหารเหลว อาหารปั่นผสม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อาหารทางการแพทย์ ซึ่งมีความสำคัญกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือผู้ป่วยมีร่างกายทีไม่ปกติ โดยทั่วไปอาหารปั่นผสมจะมีนักโภชนาการหรือผู้เชี่ยวชาญดูแล เพราะอาหารถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้ป่วย เพราะเมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะมีผลกระทบต่อร่างกายผู้ป่วย

และอาหารปั่นผสมของ จะคำนึงถึงเรื่องของคุณประโยชน์ สารอาหารที่ผู้ป่วยจะได้รับ เพราะผู้ป่วยแต่ละประเภทจะมีสูตรอาหารที่ต่างกัน เพราะผุ้ป่วยแต่ละประเภทมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้อาหารปั่นผสมนั้น มีจำหน่ายไม่มากนัก หากต้องการจริงๆต้องไปซื้อมาจากโรงพยาบาล และมีค่าใช้จ่ายที่สูง หากอยากนำไปรับประทานที่บ้าน สำหรับบ้านที่มีผู้ป่วยติดเตียง หรือต้องการดูแล หากจะทำเองที่บ้าน ต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

อาหารปั่นผสม อาหารสายยาง สำหรับผู้ที่ฟอกไต

อาหารปั่นผสม อาหารสายยาง คืออาหารที่มีลักษณะเป็นของเหลว สามารถไหลผ่านสายให้อาหารเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยได้ โดยไม่ติดขัด และสามารถให้สารอาหารและพลังงานที่เพียงพอต่อร่างกายของผู้ป่วย

ปริมาณของวัตถุดิบควรมีสัดส่วนที่เหมาะสมหรือตามใบแพทย์สั่ง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตรายเมื่อผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ไมเพียงพอ หรือเกินความจำเป็น สูตรอาหารปั่นผสมของผุ้ป่วยไตฟอกนั้น ควรมีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

และในการเตรียมวัตถุดิบแต่ละครั้ง้องคำนึงถึงความสะอาด และเมื่อทำออกมาแล้วควรรับประทานให้หมดทันที

12
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งลูกตาในเด็ก (Retinoblastoma)

มะเร็งลูกตาในเด็ก หมายถึงมะเร็งของเนื้อเยื่อจอตา (retina) เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย พบได้ประมาณร้อยละ 2 ของมะเร็งที่พบในเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี)

มักพบก่อนอายุ 4 ปี อาจพบในผู้ใหญ่ได้ แต่น้อยมาก

ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียว ประมาณร้อยละ 20-30 เป็นพร้อมกัน 2 ข้าง

สาเหตุ

เกิดจากความผิดปกติของยีนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของตาในช่วงที่เป็นทารกในครรภ์มารดา ทำให้เซลล์ประสาทของจอตาเจริญผิดปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดร้าย ซึ่งลุกลามไปยังส่วนอื่นของตาและอวัยวะนอกเบ้าตาได้

ประมาณ 1/3 ของเด็กที่เป็นโรคนี้เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ หากมีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ บุตรที่เกิดมามีโอกาสรับกรรมพันธุ์ของโรคนี้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งลูกตาได้ถึงร้อยละ 90 ในกรณีนี้เด็กมักจะเป็นมะเร็งที่ลูกตาทั้ง 2 ข้าง และสามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไปได้

ประมาณ 2/3 ของเด็กที่เป็นโรคนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนของเด็กตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ โดยที่พ่อและแม่ไม่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ในกรณีนี้เด็กมักจะเป็นมะเร็งที่ลูกตาเพียงข้างเดียว และไม่ถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไป

อาการ

ที่สำคัญพ่อแม่จะสังเกตว่าเมื่อใช้ไฟ (หรือไฟแฟลชถ่ายภาพ) ส่องตรงตาดำของเด็ก จะเห็นเป็นสีขาววาวคล้ายตาแมว

เด็กอาจมีอาการตามัวหรือมองไม่เห็น และอาจมีอาการตาเหล่ ตาแดง เปลือกตาบวม

เมื่อเป็นมากขึ้นตาจะเริ่มปูดโปนออกมานอกเบ้าตา

ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษา เด็กมักจะตาบอด และอายุสั้น

มะเร็งลูกตาอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของดวงตา และออกนอกเบ้าตา

ในกรณีที่เป็นเพียงข้างเดียวอาจลุกลามไปที่ตาอีกข้างได้

มะเร็งอาจแพร่ไปตามเส้นประสาทตาเข้าไปในสมอง รวมทั้งอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น กระดูก ปอด เป็นต้น

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยที่เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดอื่นในเวลาต่อมา เช่น มะเร็งต่อมไพเนียล (pineoblastoma) มะเร็งกระดูก (osteosarcoma) มะเร็งกล้ามเนื้อ (sarcoma) มะเร็งผิวหนัง (melanoma) เป็นต้น จึงควรให้แพทย์คอยเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการใช้เครื่องมือตรวจจอตา ทำการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

บางรายแพทย์อาจเจาะหลังนำน้ำไขสันหลังไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง หรือทำการตรวจไขกระดูกว่ามีมะเร็งแพร่กระจายไปที่ไขกระดูกหรือยัง

การรักษาโดยแพทย์

การรักษาขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของมะเร็ง การแพรก่ระจายของมะเร็ง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย

แพทย์จะให้เคมีบำบัดในรายที่เป็นระยะแรกเริ่ม เพื่อให้ก้อนมะเร็งฝ่อเล็กลง แล้วใช้วิธีอื่นรักษาต่อ เช่น รังสีบำบัด (radiation therapy) การบำบัดด้วยความเย็น (cryotherapy) การบำบัดด้วยความร้อน (thermotherapy) หรือเลเซอร์ (laser therapy) ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องผ่าตัดเอาลูกตาออก

ในรายที่มะเร็งมีการแพร่กระจายออกนอกเบ้าตา แพทย์จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีบำบัด

ในรายที่โรคเป็นมากจนไม่อาจรักษาด้วยวิธีอื่น แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาลูกตาออก และใส่ดวงตาเทียมเข้าไปแทนที่ในเบ้าตา (เพื่อความสวยงามแต่ใช้การไม่ได้)

ผลการรักษา หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม มีโอกาสหายขาดได้ถึงร้อยละ 90 แต่บางรายหลังการรักษาจนโรคหายแล้ว อาจเกิดมะเร็งชนิดนี้กำเริบได้ใหม่ หรือเด็กที่เป็นมะเร็งลูกตา 2 ข้างหรือเกิดจากการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อาจเกิดมะเร็งชนิดอื่นตามมาในภายหลัง แพทย์จำเป็นต้องติดตามดูอาการเป็นระยะ

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น สังเกตเห็นตาดำของเด็กมีสีขาววาวคล้ายตาแมว (เห็นชัดเมื่อใช้ไฟส่อง) เด็กมีอาการตามัว มองเห็นไม่ชัด ตาเหล่ ตาแดง หรือตาโปน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลูกตาในเด็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการตามัว ตาแดง ปวดตามาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง หายใจหอบ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือหน้าตาซีดเซียว
    สงสัยมีมะเร็งลูกตากำเริบใหม่
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากยังไม่ทราบปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ และส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

ข้อแนะนำ

1. เด็กที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งชนิดนี้ ควรให้แพทย์ตรวจดูตาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่หลังคลอด

2. ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตเห็นตาของเด็กมีความผิดปกติ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ หากจำเป็นต้องผ่าตัดเอาลูกตาออก พ่อแม่ควรสอบถามแพทย์ให้เกิดความเข้าใจและยอมรับ ไม่ควรปฏิเสธการรักษาโดยวิธีนี้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับอันตรายและอายุสั้นได้

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

15
หมอออนไลน์: ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามลำดับ

โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี และทั่วทุกภาค โดยจำนวนผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตอนต้นเดือนพฤษภาคม จนมีจำนวนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน แล้วเริ่มมีแนวโน้มลดลงตอนปลายเดือนตุลาคม โรคนี้มีแนวโน้มเกิดการระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี (dengue virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 2, 3 และ 4

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมาก 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า ไข้เด็งกี (dengue fever/DF)*

ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก (ซึ่งอาจเป็นเชื้อเด็งกีชนิดเดียวกัน หรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ และมีระยะฟักตัวสั้นกว่าครั้งแรก) ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ และเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมา (น้ำเลือด) ไหลซึมออกจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือนถึง 5 ปี มักจะทิ้งช่วงไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง จึงมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีมากกว่าในวัยอื่น

โรคนี้มียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง (ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร) ก็จะแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋อง หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในกลางวันและกลางคืน

 ยุงลาย

* ไข้เด็งกี (dengue fever) เกิดจากการติดเชื้อเด็งกีครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จัดว่าเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ซึ่งมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่แม้จะไม่ได้ใช้ยา หรือเพียงให้ยาบรรเทาตามอาการ เนื่องเพราะเป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งไม่มียารักษาจำเพาะ

อาการที่พบได้ก็คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยมักไม่มีอาการเป็นหวัดเจ็บคอแบบไข้หวัด ผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงเล็กคล้ายหัดขึ้นตามตัว (ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน) บางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออก) ตามผิวหนัง

บางรายเมื่อทำการทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ และบางรายอาจพบเกล็ดเลือดต่ำ

โรคนี้มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือหากไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะวินิจฉัยจากอาการ (โดยไม่ได้ทำการทดสอบทูร์นิเคต์ และไม่ได้ตรวจเลือด) ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ (เช่น ไข้ปวดข้อยุงลาย ไข้ซิกา) เพียงให้การรักษาตามอาการและติดตามสังเกตอาการ ซึ่งมักจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกี

ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อเด็งกีครั้งแรก จึงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยติดเชื้อเด็งกี หากในเวลาต่อมาเกิดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำ ก็จะกลายเป็นไข้เลือดออกได้

อาการ

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซึ่งมักมีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา หรือกินยาลดไข้ก็มักจะไม่ทุเลา

มักมีอาการหน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย นอนซม เบื่ออาหาร

บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป ท้องผูกหรือถ่ายเหลว

ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือไอบ้างเล็กน้อย

ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขนขาและลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออก มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ (บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่)

ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย

การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ

ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางราย อาจมีไข้เกิน 7 วันได้

แต่ถ้าเป็นมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4

อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค

อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

ระยะที่ 2 นี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ อาการที่ส่อว่าดีขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2

รวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วันก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้

ความรุนแรงของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่

ขั้นที่ 1 (เกรด 1) มีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก

ขั้นที่ 2 (เกรด 2) มีอาการเพิ่มจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังปกติ

ขั้นที่ 3 (เกรด 3) มีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำ หรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร** (pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท (เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60)

ขั้นที่ 4 (เกรด 4) มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไม่ได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก

ไข้เลือดออกที่มีความรุนแรง ถึงขั้นที่ 3 และ 4 พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70-80 จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2

การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้น 3 และ 4 ควรจับชีพจร วัดความดันโลหิต และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโทคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ

*การทดสอบทูร์นิเคต์ (tourniquet test) โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดเหนือข้อศอกของผู้ป่วยด้วยค่าความดันกึ่งกลางระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างของคนคนนั้น (ความดันช่วงบนบวกความดันช่วงล่างหารสอง) เป็นเวลานาน 5 นาที
ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ให้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย (ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้) นาน 5 นาที
ถ้าพบมีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (เท่ากับเหรียญบาทโดยประมาณ) แสดงว่าการทดสอบได้ผลบวก ถ้าน้อยกว่า 10 จุดก็ถือว่าได้ผลลบ
ในผู้ป่วยไข้เลือดออก การทดสอบนี้จะได้ผลบวกได้มากกว่าร้อยละ 80 ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป ใน 1-2 วันแรกอาจให้ผลลบ
คนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ไอทีพี โลหิตจางอะพลาสติก หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก การทดสอบนี้อาจให้ผลลบได้

 การทดสอบทูร์นิเคต์

 **แรงชีพจร (ความดันชีพจร) ในคนปกติจะอยู่ระหว่าง 30-50 มม.ปรอท ถ้าน้อยกว่า 30 เรียกว่า "แรงชีพจรแคบ" เช่น 120/100, 90/70, 80/70 เป็นต้น ถ้ามากกว่า 50 เรียกว่า "แรงชีพจรกว้าง" เช่น 160/90, 150/70 เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกรุนแรง (ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมาก หรือมีเลือดออกในสมอง มักมีอัตราตายสูง) ภาวะช็อก และภาวะอวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน

นอกจากนี้ อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) สมองอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด  หรือทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย

ในกรณีที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเป็นอยู่ตลอดเวลา) หน้าแดง เปลือกตาแดง นอนซม

อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดงหรือจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว การทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก (อาจให้ผลลบในวันแรก ๆ ของไข้)

ในรายที่เป็นรุนแรง (มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ4) จะตรวจพบภาวะช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างน้อยกว่า 30 มม.ปรอท) บางรายอาจตรวจพบอาการเลือดออก (เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด)

ในรายที่ยังวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายไม่ได้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเลือด พบเม็ดเลือดขาวมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 5,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร), เกล็ดเลือดมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 150,000 ตัวต่อเลือด 1ลูกบาศก์มิลลิเมตร), ฮีมาโทคริต (ซึ่งวัดระดับความเข้มของเลือด) สูงกว่าปกติ เนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง

ในการวินิจฉัยโรคนี้ให้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในเลือด (ด้วยวิธี NS1 หรือ PCR ซึ่งจะให้ผลที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการไข้ 1-3 วัน) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป แพทย์อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อดูสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้เลือดออกโดยวิธี ELISA (สามารถทราบผลจากการตรวจเพียงครั้งเดียว) หรือวิธี hemagglutination inhibition (HI ซึ่งต้องตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปดาห์)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือเพียงแต่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก จะให้การรักษาตามอาการ ดังนี้

    ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ
    หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล คำนวณขนาดตามน้ำหนักตัวหรือตามอายุ ให้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมได้ และห้ามให้ยาลดไข้กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ให้ยาลดไข้ บางครั้งไข้ก็อาจจะไม่ลดก็ได้ ระวังอย่าให้พาราเซตามอลถี่กว่ากำหนด อาจมีพิษต่อตับได้
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน) หรือสารละลายน้ำตาล เกลือแร่
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการทุกวัน ตรวจจับชีพจร วัดความดัน และตรวจดูอาการเลือดออก รวมทั้งทดสอบทูร์นิเคต์ ถ้าวันแรก ๆ ให้ผลลบ ก็จะทำซ้ำในวันต่อ ๆ มา

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ำ ช็อก หรือเลือดออก (มีอาการในขั้นที่ 2-4) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต (ดูความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าเลือดข้นมากไป เช่น ฮีมาโทคริตมีค่ามากกว่า 50% ขึ้นไป ก็แสดงว่าปริมาตรของเลือดลดน้อย) นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือด (พบว่าต่ำกว่าปกติทั้งคู่ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำประมาณวันที่ 3-4 ของไข้ โรคยิ่งรุนแรงเกล็ดเลือดจะยิ่งต่ำมาก)

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เช่น อิเล็กโทรไลต์ในเลือด ตรวจการทำงานของตับ (มักพบ AST และ ALT สูง) ตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด (congulation study) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

แพทย์จะทำการรักษา โดยให้น้ำเกลือรักษาภาวะช็อกหรือภาวะขาดน้ำ ถ้าจำเป็นอาจให้พลาสมาหรือสารแทนพลาสมา (เช่น แอลบูมินหรือเดกซ์แทรน) ให้เลือดถ้ามีเลือดออก และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้เป็นปกติภายใน 1-2  สัปดาห์ ส่วนน้อยมากที่อาจเสียชีวิต (เฉลี่ยในผู้ป่วย 1,000 คน มีการเสียชีวิตประมาณ 1 คน) จากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เลือดออกรุนแรง มีภาวะช็อก อวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น ผู้ที่เสียชีวิตมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว (เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น) อายุต่ำกว่า 1 ปี กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เข้ารับการรักษาช้า หรือปล่อยให้มีอาการรุนแรงค่อยมาพบแพทย์

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงหรือมีไข้ตลอดเวลาร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนซม หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้เลือดออก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาลดไข้-พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้ว่ากินยาแล้วไข้ไม่ยอมลดก็ห้ามกินถี่กว่าที่แนะนำ เพราะการใช้ยานี้มากเกินอาจมีพิษต่อตับได้
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดไข้-แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน (ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง เพราะหากอาเจียนอาจทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการอาเจียนออกเป็นเลือดหรือเป็นน้ำที่ดื่ม)
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน และหลีกเลี่ยงน้ำที่ออกสีเข้ม) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการหนาวสั่นมาก
    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กระสับกระส่าย หรือซึมมาก
    หายใจหอบ
    ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
    ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหารมาก หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มือเท้าเย็นชืด มีเหงื่อออกและท่าทางไม่สบายมาก
    มีจุดแดงจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
    มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น

    ปิดฝาโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้ ด้วยฝาอะลูมิเนียม ผ้า ตาข่ายไนล่อน หรือวัสดุอื่น
    เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน สำหรับแจกันพลูด่างต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามรากพลูด่างและข้างในแจกัน
    เปลี่ยนน้ำในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำเดือดลงไปในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำส้มสายชู ผงซักฟอก หรือเกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ (ใช้เกลือขนาด 2 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว)
    จานรองกระถางต้นไม้ ควรใส่ทรายธรรมดาให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของจานขนาดใหญ่ หรือเทน้ำที่ขังอยู่ในจานขนาดเล็กทิ้งทุก 7 วัน
    ควรเก็บกระป๋อง ฝาขวด (ฝาเบียร์) กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
    ยางรถยนต์เก่าถ้าไม่โยนทิ้งควรหาทางปกคลุม หรือเจาะรูระบายไม่ให้น้ำขัง หรือนำมาทำเป็นที่ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัว เครื่องใช้ (เช่น ที่ทิ้งขยะ เก้าอี้) แต่จะต้องดัดแปลงยางรถยนต์ให้ขังน้ำไม่ได้
    ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
    กำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการใส่ทรายอะเบต (abate)* ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด
    เลี้ยงปลาหางนกยูงไว้กินลูกน้ำในภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับใช้ (ไม่ใช่น้ำสำหรับบริโภค) ในอ่างบัว หรืออ่างปลูกต้นไม้น้ำ โดยใส่ปลาหางนกยูง 2-10 ตัวต่อภาชนะ ควรใส่เฉพาะปลาตัวผู้เพื่อคุมปริมาณปลาหางนกยูง

2. หาวิธีป้องกันอย่าให้ยุงลายกัด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เช่น ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเวลาออกนอกบ้าน, อยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด หรือให้เด็กเล็กนอนกางมุ้ง, ใช้ยาทากันยุงทาตามตัวเวลาอยู่ในที่ที่มียุง เป็นต้น

3. ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคไข้เลือดออก มีการรายงานว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนจนครบจำนวน 3 เข็ม (ซึ่งแต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน) สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้จากเชื้อเด็งกีทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ราวร้อยละ 65 และลดความรุนแรงของโรคได้ราวร้อยละ 93 ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อนแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเมื่อฉีดไปแล้ว หากมีการติดเชื้อเด็งกี มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรง และการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

เนื่องจากวัคซีนไข้เลือดออกยังมีราคาแพง และมีข้อระมัดระวังในการใช้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

*ใส่ทรายอะเบต (abate) ชนิด 1% ในอัตราส่วน 10 กรัม/น้ำ 100 ลิตร (ตุ่มมังกรขนาด 8 ปีบ ใช้อะเบต 2 ช้อนชา ตุ่มซีเมนต์ขนาด 12 ปีบ ใช้อะเบต 2.5 ช้อนชา) ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย


ข้อแนะนำ

1. ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้ โดยที่ไข้เลือดออกมักไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่แยกออกจากหัดได้ โดยหัดจะมีน้ำมูกและไอมากและตรวจพบจุดค๊อปลิก

นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้ผื่นกุหลาบในทารก ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น (ตรวจอาการไข้)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจมาด้วยอาการไข้สูงร่วมกับชักก็ได้

ดังนั้นในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทำการทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย

2. ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ

ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ที่เป็นไข้เลือดออก จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์

ประมาณร้อยละ 20-30 ที่อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก ซึ่งก็มีทางรักษาให้หายได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด มีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นอาจรุนแรงมากจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ

3. ระยะวิกฤติของโรคนี้คือวันที่ 3-7 ของไข้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพ้นระยะนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

4. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกในระยะแรก ถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียนมาก หรือเบื่ออาหาร (ดื่มน้ำได้น้อย) อาจมีภาวะช็อกตามมาได้ ดังนั้นถ้าพบอาการเหล่านี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรพยายามให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ ถ้าดื่มไม่ได้ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

5. เนื่องจากเชื้อไข้เลือดออกมีอยู่หลายชนิด ดังนั้นคนเราจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แล้วหายได้เอง ส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงช็อก และแต่ละคนจะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว (หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต) ที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก

6. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก สามารถให้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ควรแยกแยะอาการตัวเย็นจากยาลดไข้ให้ออกจากภาวะช็อก กล่าวคือ ถ้าตัวเย็นเนื่องจากยาลดไข้ ผู้ป่วยจะดูสบายดีและหน้าตาแจ่มใส แต่ถ้าตัวเย็นจากภาวะช็อก ผู้ป่วยจะซึมหรือกระสับกระส่าย

อย่างไรก็ตาม ควรย้ำให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่าการใช้ยาลดไข้อาจไม่ทำให้ไข้ลด ถ้าไข้ไม่ลดก็ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาดที่กำหนด ถ้าให้มากไปหรือถี่เกินไป อาจมีพิษต่อตับถึงขั้นอันตรายได้ และอย่าหันไปใช้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยี่ห้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประกอบด้วยยาพาราเซตามอลล้วน ๆ (โดยอ่านดูฉลากยาให้แน่ใจ) เพราะยาแก้ไข้อื่น ๆ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้

7. ในรายที่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ควรให้ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้น้อยไปหรือมากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะวิกฤติประมาณ 24-48 ชั่วโมง จำเป็นต้องตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต อย่างใกล้ชิด และปรับปริมาณและความเร็วของน้ำเกลือที่ให้ตามความรุนแรงของผู้ป่วย ต้องระวังการให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอันตรายได้

หน้า: [1] 2 3 ... 93