ปัญหาใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นความคล้ำ ร่องลึก หรือริ้วรอย เป็นสิ่งที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุ การแก้ไขปัญหานี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันก็มีหลายวิธีให้เลือก แต่ละวิธีมีจุดเด่นและความเหมาะสมกับปัญหาที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจแต่ละวิธีจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเอง มาดูกันว่าระหว่าง โปรแกรม
ฟิลเลอร์ใต้ตา การฉีดไขมันใต้ตา และการทำเลเซอร์ใต้ตา วิธีไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด
1. โปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา (Undereye Filler)การฉีดสาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่พบตามธรรมชาติในร่างกาย มีคุณสมบัติอุ้มน้ำและเติมเต็ม เหมาะกับปัญหา ร่องลึกใต้ตาที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูกหรือไขมัน, ใต้ตาคล้ำที่เป็นเงาจากความโบ๋, ริ้วรอยตื้นๆ ที่เกิดจากการขาดวอลลุ่ม โดยหลักการทำงาน คือ HA จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างบริเวณใต้ตาที่บุ๋มลง ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ร่องลึกตื้นขึ้น ลดเงาที่ทำให้ดูคล้ำ
ข้อดี:- ทำได้รวดเร็ว ใช้เวลาไม่นาน
- พักฟื้นน้อยมาก อาการบวมช้ำมีน้อย (ขึ้นอยู่กับเทคนิคแพทย์)
- เห็นผลทันทีหลังทำ และจะเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์
- หากผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ สามารถฉีดสลายได้ (กรณีใช้ฟิลเลอร์ HA แท้)
ข้อจำกัด:- ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราว มักอยู่ได้ 6 เดือนถึง 1 ปี (ขึ้นอยู่กับชนิดฟิลเลอร์ การดูแล และแต่ละบุคคล) ต้องมาเติมซ้ำ
- ไม่เหมาะกับปัญหาถุงใต้ตา หรือความคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีผิว (Pigmentation) โดยตรง
2. โปรแกรมฉีดไขมันใต้ตา (Undereye Fat Grafting)การนำไขมันส่วนเกินจากบริเวณอื่นของร่างกาย (เช่น หน้าท้อง, ต้นขา) มาผ่านกระบวนการคัดแยกเซลล์ไขมันที่สมบูรณ์ แล้วฉีดกลับเข้าไปบริเวณใต้ตา เหมาะกับปัญหา ร่องลึกใต้ตา หรือความโบ๋ที่ค่อนข้างมากและต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน มีหลักการทำงาน คือ เซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะทำหน้าที่เป็น Volume Filler เติมเต็มร่องลึกและความโบ๋ นอกจากนี้ สเต็มเซลล์ในไขมันยังมีส่วนช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวบริเวณใต้ตาให้ดีขึ้น
ข้อดี:- ใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง ปลอดภัย ลดความเสี่ยงการแพ้
- ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างถาวร (หากไขมันที่ฉีดเข้าไปอยู่รอด)
- อาจช่วยให้คุณภาพผิวใต้ตาดีขึ้นได้ด้วย
ข้อจำกัด:- เป็นหัตถการที่ใหญ่กว่าฟิลเลอร์ ต้องมีขั้นตอนดูดไขมัน
- พักฟื้นนานกว่าฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมช้ำได้มาก
- ผลลัพธ์เรื่องปริมาณที่เหลืออยู่ค่อนข้างไม่แน่นอน (ไขมันบางส่วนอาจสลายไป)
- ไม่สามารถสลายได้ทันทีเหมือนฟิลเลอร์ HA
3. โปรแกรมเลเซอร์ใต้ตา (Undereye Laser)การใช้พลังงานแสงเลเซอร์ชนิดต่างๆ เช่น Fractional Laser, Pico Laser หรือกลุ่ม Tightening Laser เพื่อฟื้นฟูผิวใต้ตา เหมาะกับปัญหา ริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา (ที่ไม่ได้เกิดจากวอลลุ่มที่หายไปโดยตรง), ความคล้ำที่เป็นเม็ดสีผิว (Pigmentation), ปัญหาเรื่องคุณภาพผิวใต้ตา, ผิวใต้ตาที่ไม่กระชับเล็กน้อย โดยเลเซอร์จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน หรือทำลายเม็ดสีส่วนเกิน หรือทำให้ผิวชั้นบนเรียบเนียนขึ้น ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้
ข้อดี:- แก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งริ้วรอย สีผิว และความกระชับ (ขึ้นอยู่กับชนิดเลเซอร์)
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
ข้อจำกัด:- ไม่สามารถเติมเต็มร่องลึกหรือความโบ๋ได้โดยตรง
- มักต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน
- อาจมีระยะเวลาพักฟื้น (เช่น ผิวลอก หรือตกสะเก็ด) ขึ้นอยู่กับชนิดเลเซอร์
- ความคล้ำบางประเภทอาจไม่ตอบสนองต่อเลเซอร์
หลักการเลือกวิธีที่เหมาะสมการเลือกระหว่าง โปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา, โปรแกรมฉีดไขมันใต้ตา โปรแกรมเลเซอร์ใต้ตา ขึ้นอยู่กับ "ปัญหาหลัก" และ "ความคาดหวัง" ของคุณเป็นสำคัญ:
- ถ้าปัญหาหลักคือ ร่องลึกและความโบ๋ เล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ทำให้เกิดเงาคล้ำ และต้องการวิธีที่ รวดเร็ว พักฟื้นน้อย และเห็นผลทันที -> ฟิลเลอร์ใต้ตา มักเป็นตัวเลือกแรกที่เหมาะสม
- ถ้าปัญหาหลักคือ ความโบ๋ที่ค่อนข้างมาก และต้องการ ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างถาวร โดยยอมรับการพักฟื้นที่นานกว่าได้ -> การฉีดไขมันใต้ตา อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
- ถ้าปัญหาหลักคือ ริ้วรอยตื้นๆ บนผิว, ผิวใต้ตาคล้ำจากเม็ดสี, หรือผิวไม่กระชับ และต้องการเน้นที่การ ฟื้นฟูคุณภาพผิว -> เลเซอร์ใต้ตา จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ในบางกรณี ปัญหาใต้ตาอาจมีความซับซ้อนและต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การทำฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึก และทำเลเซอร์เพื่อแก้ปัญหาเม็ดสีหรือคุณภาพผิว
สรุปแล้ววิธีที่ดีที่สุด คือ การเข้ารับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จะช่วยวิเคราะห์ปัญหาใต้ตาของคุณอย่างละเอียด และแนะนำหัตถการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการทำฟิลเลอร์ใต้ตา การฉีดไขมัน หรือเลเซอร์ เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ใต้ตาที่ดูสดใสและสวยงามอย่างที่ต้องการ