head prakardsod






























































ผู้เขียน หัวข้อ: มอเตอร์โชว์: ปรับโฉมใหม่ โดดเด่นด้วยไฟท้ายลายธง Union Jack  (อ่าน 75 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 791
    • ดูรายละเอียด
มอเตอร์โชว์: ปรับโฉมใหม่ โดดเด่นด้วยไฟท้ายลายธง Union Jack

มินิ ประเทศไทย ทำการเปิดตัวรถยนต์ MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ ประกอบด้วย MINI Hatch 3 ประตู, MINI Hatch 5 ประตู, MINI Convertible และ MINI John Cooper Works Hatch 3 ประตู ซึ่งทั้ง 4 รุ่น ได้รับการปรับใหม่ ทั้งโลโก้, ไฟหน้า, ล้อ ไปจนถึงการตกแต่งภายใน โดยจุดที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นไฟท้ายลายธงยูเนียนแจ๊ค ในด้านสมรรถนะก็ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์และชุดเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ภายนอก โดดเด่นสะดุดตาด้วยโคมไฟหน้าแบบฮาโลเจนในรุ่น Cooper และ Cooper D เน้นด้วยพาเนลสีดำด้านในโคมไฟ การปรับโฉมไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวงดีไซน์ใหม่ ในรุ่น Cooper S สว่างชัดยิ่งขึ้นทั้งไฟสูง และไฟต่ำด้วยไฟแบบ LED พร้อม LED Daytime Running Light พร้อมไฟเลี้ยวภายในวงแหวนเดียวกัน

ทั้งยังมีเทคโนโลยีล่าสุด Adaptive LED Headlights ในรุ่น MINI John Cooper Works Hatch 3 ประตู ที่จะช่วยปรับความสว่างของไฟหน้าแบบอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง และปรับองศาไฟขณะเข้าโค้ง นอกจากนี้ระบบนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Matrix light ที่ยกระดับทัศนวิสัยในการขับขี่ด้วยการเปิด-ปิดระบบไฟส่องสว่างโดยอัตโนมัติเมื่อกล้องในรถยนต์ตรวจจับได้ว่ามีรถยนต์คันอื่นสวนมา

เพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทาง เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษ MINI ได้รับไฟท้ายให้โดดเด่นด้วยลายธง Union Jack ในรุ่น Cooper S และ John Cooper Works Hatch โดยไฟเบรกจะใช้เส้นแนวตั้ง ส่วนไฟเลี้ยวจะเป็นเส้นแนวนอน

ไม่เพียงเท่านี้ MINI ยังได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ ใหม่ให้มีความเรียบง่าย ด้วยการออกแบบ 2 มิติ สำหรับโลโก้ใหม่นี้จะติดตั้งอยู่บริเวณฝากระโปรงหน้า, ฝากระโปรงท้าย, พวงมาลัย และบนกุญแจรีโมท ซึ่งการปรับเปลี่ยนโลโก้ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น MINI ที่ให้การขับขี่ที่สนุกสนาน ผสานการออกแบบที่โดดเด่น และคุณภาพยนตรกรรมระดับพรีเมียม

MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ ทั้ง 3 ประเภทตัวถัง จะมาพร้อมกับสีใหม่อีก 3 สี นั่นก็คือ สีเทา Emerald Grey Metallic, สีน้ำเงิน Starlight Blue Metallic และสีส้ม Solaris Orange Metallic พร้อมเสริมความสปอร์ตดุดันในรุ่น Cooper S ด้วย Piano Black Exterior สีดำเงาที่กรอบโคมไฟหน้า โคมไฟท้าย และกระจังหน้ารถ

นอกจากนี้ ยังมีล้ออัลลอยลายใหม่ทั้งหมด 4 แบบที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่น คือ ลาย Victory Spoke Black ขนาด 16 นิ้ว, ลาย Roulette Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว, ลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว และ ลาย MINI Yours Vanity Spoke 2-tone ขนาด 18 นิ้ว ที่มาพร้อมฝาครอบล้อใหม่ลาย MINI Yours

ด้านการตกแต่งภายใน MINI ได้เพิ่มทางเลือกของสีเบาะนั่งและห้องโดยสารทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Leather Chester, Leather Malt Brown, Leather Cross Punch Carbon Black และล่าสุดกับ Leather Lounge Satellite Grey ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความไม่เหมือนใคร และเติมความโดดเด่นบนท้องถนนให้กับ MINI Convertible

ส่วนพวงมาลัยจะเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นแบบสามก้าน ที่จะแตกต่างกันในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานในแต่ละรุ่น ด้านซ้ายจะมีปุ่มควบคุม Speed Limit ส่วนด้านขวาจะเกี่ยวข้องกับระบบความบันเทิงและเครื่องเสียง นอกจากนี้ มินิทุกรุ่นยังมาพร้อมกับหน้าจอดิจิทัลพร้อมระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว หรือ 8.8 นิ้วที่มีเทคโนโลยีไร้สายแบบ Bluetooth ติดตั้งในตัวเพื่อเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้ รวมถึงเทคโนโลยี MINI Connected ที่จะเชื่อมต่อฟังก์ชั่นต่างๆ บนรถยนต์กับสมาร์ทโฟนได้

ไม่เพียงเท่านี้ MINI ยังเพิ่มลูกเล่นด้วยชุดอุปกรณ์เสริม MINI Excitement มาพร้อมกับระบบ MINI Logo Projection ที่สร้างเอกลักษณ์สะดุดตาด้วยการฉายโลโก้มินิลงบนพื้นนอกตัวรถบริเวณฝั่งคนขับเมื่อเปิดหรือปิดประตูรถ ส่วนในรุ่น John Cooper Works ได้ติดตั้งแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging) สามารถชาร์จได้กับโทรศัพท์รุ่นที่รองรับ นอกจากนี้ยังมีทางเลือกเสริมให้ติดตั้งพอร์ต USB เพิ่มเติมที่คอนโซลหน้ารถได้อีกด้วย

นอกจากการปรับโฉมภายนอกและภายในแล้ว ครั้งนี้ MINI ยังได้ปรับปรุงเครื่องยนต์และเกียร์ใหม่ให้สนุกมากขึ้น โดยเครื่องยนต์เบนซินทุกรุ่นจะมีการเพิ่มแรงดันสูงสุดในการฉีดน้ำมันจาก 200 เป็น 350 บาร์ ควบคู่ไปกับใบพัดเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนสูง รวมถึงมีการปรับแรงดันหัวฉีดน้ำมันทำให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ขณะที่ฝาครอบเครื่องยนต์นำวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) มาใช้เป็นครั้งแรก จึงทำให้มีน้ำหนักเบาลง เสริมสมรรถนะให้รวดเร็วฉับไวขึ้น

MINI Hatch จะมาพร้อมกับขุมพลังเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo โดยมีให้เลือกสรรทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ในรุ่น Cooper และ Cooper D ด้านคูเปอร์ และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร ในรุ่น Cooper S ที่ให้กำลังสูงถึง 192 แรงม้า ควบคู่กับแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ด้านระบบเกียร์พัฒนาเพิ่มเติมด้วยคันเกียร์ระบบไฟฟ้า โดยในรุ่น Cooper และ Cooper S จะมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 7 สปีด คลัตช์คู่ (Double Clutch Transmission) ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและไหลลื่นยิ่งขึ้น รวมถึงมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนในรุ่น John Cooper Works Hatch เสริมความสปอร์ตด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ตอบสนองรวดเร็วในสไตล์รถแข่ง

MINI Hatch 3 ประตู ให้กำลัง 136 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.8 วินาที ส่วน MINI Hatch 5 ประตู ให้กำลัง 192 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 6.7 วินาที และ MINI Convertible ให้กำลัง 192 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.1 วินาที ด้าน MINI John Cooper Works Hatch 3 ประตู ยังคงให้ความตื่นเต้นเร้าใจเหมือนอยู่ในสนามแข่งด้วยเครื่องยนต์ทรงพลัง, ช่วงล่าง รวมถึง ชุดแต่ง และล้ออัลลอยแบบ John Cooper Works Cup Spoke, 2-tone ขนาด 18 นิ้ว เครื่องยนต์ MINI TwinPower Turbo พร้อมมอบกำลัง 231 แรงม้า ที่สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที

ลูกค้า MINI ยังอุ่นใจด้วยโปรแกรม MINI Service Inclusive (MSI) ให้เลือกสรรตามความต้องการ ด้วยแพ็คเกจเริ่มต้น MSI Standard ที่ครอบคลุมระยะการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม. และรับประกัน 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง โดย MINI Hatch, MINI Convertible และ MINI John Cooper Work รุ่นปรับโฉมใหม่ จะประกาศ ราคาจำหน่าย อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้