บริการทำความสะอาด: วิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้าและเคล็ดลับการซักผ้าการดูแลรักษาเครื่องซักผ้าให้สะอาดอยู่เสมอ และการซักผ้าอย่างถูกวิธี จะช่วยให้เสื้อผ้าของคุณสะอาด ปราศจากกลิ่นอับ และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องซักผ้าได้อีกด้วยครับ
วิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้า
คราบผงซักฟอก ตะกอนน้ำ เชื้อรา และแบคทีเรีย สามารถสะสมอยู่ในเครื่องซักผ้าได้ ทำให้ผ้าที่ซักมีกลิ่นอับหรือซักไม่สะอาด ควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
วัสดุที่ใช้: น้ำส้มสายชู, เบกกิ้งโซดา, ผ้าสะอาด, แปรงสีฟันเก่า
1. การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าฝาบน:
ล้างถังซักด้วยน้ำส้มสายชูและเบกกิ้งโซดา:
เติมน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นลงในถังซักให้เกือบเต็ม
ใส่น้ำส้มสายชูประมาณ 2-4 ถ้วยตวง (ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่อง) ลงไปในถัง
ปั่นเครื่องประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้น้ำส้มสายชูกระจายตัวทั่วถึง
กดหยุดเครื่องซักผ้า และทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง (หรือข้ามคืนหากสกปรกมาก) เพื่อให้น้ำส้มสายชูช่วยขจัดคราบและฆ่าเชื้อ
หลังจากนั้น เติมเบกกิ้งโซดาประมาณ 1 ถ้วยตวงลงไป (หรือประมาณ 250 กรัม) แล้วเดินเครื่องซักต่อจนจบรอบ (บางเครื่องมีโปรแกรมล้างถังซักโดยเฉพาะ)
เมื่อเสร็จสิ้น ให้เปิดเครื่องซักผ้าเปล่าด้วยน้ำสะอาดอีก 1-2 รอบ เพื่อล้างคราบสกปรกและกลิ่นที่ตกค้างออกไป
ทำความสะอาดช่องใส่ผงซักฟอก/น้ำยาปรับผ้านุ่ม: ถอดลิ้นชักออกมาทำความสะอาดคราบผงซักฟอกที่ติดอยู่ โดยใช้แปรงสีฟันขัดทำความสะอาด แล้วล้างน้ำให้สะอาด เช็ดให้แห้งก่อนใส่กลับเข้าที่
ทำความสะอาดขอบถังและฝาเครื่อง: ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่หรือน้ำยาทำความสะอาดเช็ดทำความสะอาดรอบๆ ขอบถังด้านในและด้านนอก รวมถึงฝาเครื่อง
ทำความสะอาดตัวกรองเศษผ้า (Lint Filter): ส่วนใหญ่เครื่องซักผ้าฝาบนจะมีตัวกรองเศษผ้าอยู่ ควรหมั่นถอดออกมาทำความสะอาดเป็นประจำ เพื่อไม่ให้เศษผ้าอุดตัน
2. การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าฝาหน้า:
ใช้โปรแกรมล้างถังซัก (Tub Clean / Drum Clean): เครื่องซักผ้าฝาหน้าหลายรุ่นจะมีโปรแกรมล้างถังซักอัตโนมัติ ให้ใช้โปรแกรมนี้โดยไม่ต้องใส่ผ้าและผงซักฟอก
บางรุ่นอาจแนะนำให้ใส่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าโดยเฉพาะ หรือสามารถใช้น้ำส้มสายชู (ประมาณ 2-3 ถ้วย) หรือเบกกิ้งโซดา (ประมาณ 1 ถ้วย) ใส่ลงในช่องใส่ผงซักฟอก แล้วเลือกโปรแกรมล้างถังซักด้วยน้ำร้อน (ถ้ามี)
ทำความสะอาดขอบยางประตู (Gasket): เป็นส่วนที่มักมีคราบเชื้อราและคราบสกปรกสะสมเยอะมาก
ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่ น้ำส้มสายชู หรือน้ำยาทำความสะอาดเชื้อรา เช็ดทำความสะอาดตามร่องและซอกของขอบยางให้ทั่ว
อาจใช้แปรงสีฟันช่วยขัดในซอกเล็กๆ
เช็ดให้แห้งทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อป้องกันเชื้อรา
ทำความสะอาดช่องใส่ผงซักฟอก/น้ำยาปรับผ้านุ่ม: ถอดลิ้นชักออกมาทำความสะอาดคราบสกปรกที่ตกค้าง ล้างน้ำให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
ทำความสะอาดตัวกรองปั๊มน้ำทิ้ง (Drain Pump Filter): มักจะอยู่ด้านล่างของเครื่อง ควรตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นประจำ เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรก เช่น เศษเหรียญ กระดุม หรือเศษผ้า ไปอุดตัน
ทำความสะอาดภายนอกตัวเครื่อง: ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดตัวเครื่องด้านนอก
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับเครื่องซักผ้าทุกชนิด:
เปิดฝาเครื่องทิ้งไว้หลังซัก: หลังซักผ้าเสร็จทุกครั้ง ควรเปิดฝาถังซักทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้อากาศถ่ายเท ความชื้นระเหยออกไป ช่วยลดกลิ่นอับและป้องกันเชื้อรา
อย่าใส่ผ้าแน่นเกินไป: การใส่ผ้ามากเกินความจุของเครื่องจะทำให้เครื่องทำงานหนัก ซักผ้าไม่สะอาด และทำให้อายุการใช้งานของเครื่องสั้นลง
ตรวจเช็คและนำสิ่งของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้าเสมอ: ก่อนนำผ้าเข้าเครื่องซักผ้า ควรตรวจสอบกระเป๋าเสื้อผ้าทุกชิ้นเพื่อนำเหรียญ กุญแจ กระดาษทิชชู หรือสิ่งของอื่นๆ ออก เพราะอาจทำให้เครื่องเสียหายได้
ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ: การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเป็นประจำ จะช่วยให้เครื่องสะอาด ซักผ้าได้มีประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งาน
เคล็ดลับการซักผ้าให้สะอาด ปราศจากกลิ่นอับ และถนอมผ้า
แยกผ้าให้ถูกประเภท:
แยกสี: ผ้าขาว ผ้าสีอ่อน ผ้าสีเข้ม เพื่อป้องกันสีตกใส่กัน
แยกชนิดผ้า: ผ้าฝ้าย ผ้าใยสังเคราะห์ ผ้าละเอียดอ่อน (ผ้าไหม ผ้าลูกไม้) ผ้าขนหนู เพื่อใช้วิธีซักและอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม
แยกความสกปรก: ผ้าที่สกปรกมาก ผ้าที่สกปรกน้อย
ตรวจสอบป้ายสัญลักษณ์บนเสื้อผ้า: เสื้อผ้าแต่ละชนิดมีวิธีดูแลที่แตกต่างกัน ควรทำตามคำแนะนำบนป้ายสัญลักษณ์
ขจัดคราบเฉพาะจุดก่อนซัก: สำหรับคราบฝังแน่น เช่น คราบอาหาร คราบโคลน ควรป้ายน้ำยาขจัดคราบ หรือแช่ด้วยน้ำยาซักผ้าก่อนนำเข้าเครื่องซัก
ใช้ปริมาณผงซักฟอก/น้ำยาซักผ้าที่เหมาะสม:
อ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์เพื่อดูปริมาณที่แนะนำ
การใส่มากเกินไปอาจทำให้ผงซักฟอกตกค้างบนผ้าและในเครื่องซักผ้า ส่วนใส่น้อยเกินไปอาจซักไม่สะอาด
เลือกใช้ผงซักฟอก/น้ำยาซักผ้าที่เหมาะกับชนิดของผ้าและเครื่องซักผ้าของคุณ
เลือกโปรแกรมซักและอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสม:
น้ำร้อน: เหมาะสำหรับผ้าขาว ผ้าฝ้ายที่สกปรกมาก หรือผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว เพื่อฆ่าเชื้อโรค (แต่ต้องระวังผ้าหดตัว)
น้ำอุ่น: สำหรับผ้าสีที่ไม่ตก ผ้าสังเคราะห์ หรือผ้าสกปรกปานกลาง
น้ำเย็น: เหมาะสำหรับผ้าสีเข้ม ผ้าละเอียดอ่อน หรือเมื่อต้องการประหยัดพลังงาน
โปรแกรมซักผ้าละเอียดอ่อน (Delicate): สำหรับผ้าที่บอบบาง ควรใส่ถุงซักผ้าตาข่ายด้วย
เคล็ดลับซักผ้าไม่ให้เหม็นอับ:
อย่าทิ้งผ้าเปียกไว้ในเครื่องซักผ้านานๆ: ควรรีบนำผ้าออกจากเครื่องและนำไปตากทันทีหลังซักเสร็จ
ตากผ้าให้แห้งสนิทและมีอากาศถ่ายเทดี: หากตากในที่ร่ม ควรมีลมพัด หรือใช้พัดลมช่วยเป่า
เว้นระยะห่างในการตากผ้า: ไม่ควรตากผ้าชิดกันเกินไป เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ทั่วถึง
ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าสม่ำเสมอ: สาเหตุหลักของผ้าเหม็นอับมักมาจากเครื่องซักผ้าที่ไม่สะอาด
ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือผลิตภัณฑ์ลดกลิ่นอับ: หากจำเป็น หรือในหน้าฝน
เติมน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยในน้ำสุดท้ายของการซัก: น้ำส้มสายชูช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและลดกลิ่นอับได้ (กลิ่นน้ำส้มสายชูจะระเหยไปเองเมื่อผ้าแห้ง)
โรยเบกกิ้งโซดาลงในถังซักก่อนใส่ผ้า: ประมาณ 1/2 ถ้วย ช่วยดูดซับกลิ่น
อย่าใส่ผ้าแน่นเกินไปในเครื่องซักผ้า: ให้เหลือพื้นที่ว่างในถังซัก เพื่อให้ผ้าเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระและถูกน้ำยาซักผ้าและน้ำได้อย่างทั่วถึง
การทำตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น ได้ผ้าที่สะอาด หอมสดชื่น และช่วยยืดอายุการใช้งานทั้งเสื้อผ้าและเครื่องซักผ้าของคุณครับ