head prakardsod






























































ผู้เขียน หัวข้อ: motor expo รถอเนกประสงค์รุ่นไหนที่เหมาะกับสายเที่ยว และแค้มปิ้ง  (อ่าน 7 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 810
    • ดูรายละเอียด
motor expo รถอเนกประสงค์รุ่นไหนที่เหมาะกับสายเที่ยว และแค้มปิ้ง

Work life Balance คือการใช้ชีวิตให้สมดุล ทั้งใชีวิตหนัก ๆ ในวันทำงานและผ่อนคลายสบาย ๆ ในวันหยุด สำหรับรถที่จะตอบสนองการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ดีที่สุดนั้น ก็คือ รถยนต์ในกลุ่มรถอเนกประสงค์ แต่ว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์แบบไหนดี ซึ่งจริง ๆ แล้วรถในกลุ่มนี้มีหลายประเภท เช่น SUV (Sports Utility Vehicle), PPV (Pick-Up Passenger Vehicle), Crossover (Crossover Utility Vehicle) ฯ ที่ ณ ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นรถที่มีคันเดียวในบ้านแต่ตอบโจทย์ได้ทั้งทำงาน และท่องเที่ยว ด้วยความที่เป็นรถที่มีห้องโดยสารกว้างในบางรุ่นรองรับได้ 5-7 ที่นั่ง, ตัวรถมีระยะยกสูงจากพื้นมากกว่ารถปกติพร้อมพาไปถึงทุกที่หมายไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแบบไหน, อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน, การออกแบบที่ทันสมัย และที่สำคัญนั่นก็คือ ราคาและออปชันที่ได้มานั้นเรียกว่าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป ออ ถ้าชอบท่องเที่ยวหนัก ๆ ลุย ๆ ก็เน้นไปที่การเลือกรถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ถ้าเป็นสายเที่ยวสบาย ๆ ก็มีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อให้เลือก เราจะมาดูกันว่าในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้ จะมีรุ่นไหนที่น่าจะเหมาะกับสายเที่ยว และแค้มปิ้ง ให้คุณได้เลือกไว้เป็นรถประจำครอบครัวกันบ้าง
 
FORD
ค่ายรถอเมริกันพันธ์ุแกร่งที่มีรถอเนกประสงค์ตัวตึงอย่าง Next-Gen Everest ซึ่งมีหลายรุ่นให้เลือกทั้ง Platinum, Wildtrak, Titanium+, Sport และ Trend โดยแต่ละรุ่นก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันออกไป แต่จุดเด่นของ Everest นั้นก็คือการเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเพื่อความสะดวกสบาย, ระบบเพื่อความปลอดภัย ซึ่งทุกรุ่นจะมากับความสามารถในการลุยน้ำได้ถึง 800 มิลลิเมตร กับระยะต่ำสุดจากพื้นที่ 227 มิลลิเมตร และเมื่อพับเบาะแถว 2-3 ลงจะได้พื้นที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นถึง 567 ลิตร (199 ลิตร สำหรับการพับเบาะที่นั่งแถวที่ 3 อย่างเดียว) เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับทุกการเดินทางกับครอบครัวแล้ว
 
Platinum เป็นรุ่นที่ทาง ฟอร์ด ประเทศไทย ปล่อยออกมาล่าสุดด้วยการจองผ่านช่องทางออนไลน์ (รอบแรกเต็มอย่างไว จนต้องเปิดรับจองรอบ 2) ด้วยพลังจากเครื่องต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร แบบ V6 (2,993 ซีซี) ให้พลัง 250 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ e-Shifter, ดิฟล็อกหลังไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD Terrain Manage System โดยเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 6 แบบ ภายนอกออกแบบอย่างเรียบหรู ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซน์ใหม่ มีตัวอักษร PLATINUM สีโครเมียม 3 ตำแหน่ง (บนฝากระโปรงหน้า, บานประตูคู่หน้า และฝาท้าย), หลังคาตกแต่งสีดำ, ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว และระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) ภายในห้องโดยสารมาพร้อมความสะดวกสบาย และเบาะนั่งคนขับกับผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบปรับอากาศ, ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะที่นั่ง และฟังก์ชันการปรับตำแหน่งเบาะที่นั่งให้เข้าออกสะดวกสำหรับเบาะนั่งคนขับ รวมถึงระบบเสียง Bang & Olufsen ที่มากับลำโพง 12 ตำแหน่ง พร้อมซับวูฟเฟอร์ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกการเดินทาง

 
Wildtrak กับ Titanium+ (4x4, 4x2) โดยทั้ง 3 รุ่นย่อยจะมากับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ (Bi-Turbo) 2.0 ลิตร (1,996 ซีซี) ให้กำลัง 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร โดย Wildtrak กับTitanium+ 4x4 จะได้เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ e-Shifter พร้อมระบบเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 6 แบบ ส่วน Titanium+ 4x2 จะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด กับโหมดการขับขี่ 4 แบบ นอกจากนี้ Wildtrak, Titanium+ 4x4 จะได้ดิฟล็อกหลังไฟฟ้า ภายนอกจะมีการตกแต่งด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ภายในของ Wildtrak จะได้เบาะสีดำเดินด้ายสีส้ม พร้อมปักโลโก้พิเศษเฉพาะรุ่น สำหรับหน้าจอเครื่องเสียงจะเป็น Multi-Touch Screen ขนาด 12 นิ้ว ด้านเทคโนโลยี ก็จะได้เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ขั้นสูงอีกหลายรายการ


Sport และ Trend 2 รุ่นนี้จะได้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร (1,996 ซีซี) ให้กำลัง 170 แรงม้า แรงบิด 405 นิวตันเมตร กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ถึงแม้ทั้ง 2 รุ่นจะขับเคลื่อนด้วยระบบ 2 ล้อ (4x2) แต่ก็มีโหมดการขับขี่มาให้ 4 แบบ สำหรับรุ่น Sport จะได้ล้ออัลลอย 20 นิ้ว แต่ Trend จะได้ 18 นิ้ว ส่วนประตูท้ายไฟฟ้าจะยังมีอยู่ใน Sport แต่ไม่มีใน Trend ส่วนภายในทั้ง 2 รุ่นจะได้หน้าจอสีขนาด 8 นิ้ว

 
ราคา
Everest 2.0L Turbo Trend 4x2 6AT 1,377,000 บาท
Everest 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT 1,507,000 บาท
Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4x2 10AT 1,747,000 บาท
Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4x4 10AT 1,897,000 บาท
Everest 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4x4 10AT 1,922,000 บาท
Everest 3.0L V6 Turbo Platinum 4WD 10AT 2,279,000 บาท
 

GWM TANK
แบรนด์ย่อยในกลุ่ม GWM (เกรท วอล มอเตอร์) ที่ยกทัพบุกตลาดรถยนต์ไทยด้วย 2 รุ่นหลักอย่าง GWM TANK 300, GWM TANK 500 โดยจะมากับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 224 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 106 แรงม้า แรงบิด 268 นิวตันเมตร กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9HAT) และแพลตฟอร์ม TANK ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในเส้นทางออฟโรดโดยเฉพาะ พร้อมรองรับระบบเครื่องยนต์ได้ถึง 3 แบบ (เครื่องยนต์สันดาป, ไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริด) อีกทั้งยังสามารถปรับโหมดการขับขี่, โหมดออฟโรด, ระบบช่วยกลับรถในที่แคบ Tank Turn, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบออฟโรด, ระบบตรวจจับความลึกของน้ำ, ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ และระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มากถึง 18 ระบบ
 

รุ่น 300 สามารถลุยน้ำได้ 700 มิลลิเมตร กับมีความสูงใต้ท้องรถ 224 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วยดีไซน์ BOXY อาจจะดูเหลี่ยม ๆ ไปนิด แต่ก็บึกบึน ด้วยไฟหน้าแบบ Intelligent LED, ไฟท้าย Vertical LED, ไฟตัดหมอกหน้า-หลังแบบ LED, ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED, หลังคาซันรูฟ, ล้ออัลลอย 17 นิ้ว และโหมดการขับขี่ 3 แบบ กับโหมดออฟโรดอีก 4 แบบ ขณะที่ภายในห้องโดยสารมีมาตรวัดแบบจอ TFT และจอเครื่องเสียงแบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว ที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto กับลำโพง Infinity 8 ตำแหน่ง ส่วนเบาะนั่งปรับไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า-ดันหลังไฟฟ้าเบาะคนขับ, ระบบระบายอากาศและเบาะหนัง โดย GWM TANK วางกลุ่มเป้าหมายของรุ่น 300 อยู่ที่กลุ่มลูกค้าที่อยู่ที่ช่วงอายุ 31-40 ปี และชื่นชอบการผจญภัย ถ้าคิดจะลุยคันนี้ก็เหมาะเลย
 
ราคา
300 Pro ราคา 1,649,000 บาท
300 Ultra ราคา 1,799,000 บาท

 
รุ่น 500 เป็นรุ่นเรือธงของ GWM TANK ที่อยู่เหนือกว่า 300 ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งที่หรูหราสมกับที่เป็นพรีเมียมเอสยูวี กับความสามารถในการลุยน้ำได้มากกว่ารุ่น 300 ที่ 100 มิลลิเมตร (800 มิลลิเมตร), ส่วนความสูงใต้ท้องรถนั้นเท่ากันทั้ง 2 รุ่น ทั้งยังโดดเด่นไฟหน้าแบบ Intelligent LED พร้อมระบบ Follow Me Home, ไฟท้าย Vertical LED, ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง LED, ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED, หลังคาซันรูฟ, บันไดข้างแบบพับ-เก็บ ไฟฟ้า, ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว, โหมดการขับขี่ 4 แบบ และโหมดออฟโรดอีก 7 แบบ ขณะที่ภายในก็ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา ด้วยเบาะหนัง พร้อมไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร มีการเพิ่มความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งที่มีระบบปรับไฟฟ้าคู่หน้าและหุ้มหนัง ด้านผู้ขับปรับได้ 8 ทิศทาง และผู้โดยสารได้ 6 ทิศทาง ในรุ่น Ultra พร้อม Vip สวิตช์ ส่วนรุ่น Pro จะได้ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ต่อกันที่ภายในจะมีมาตรวัดแบบจอสีขนาด 12.3 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมจอกลางแบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto กับลำโพง Infinity 12 ตำแหน่ง ในรุ่น Ultra และ 8 ตำแหน่ง ในรุ่น Pro นอกจากนี้ก็จะมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ, ระบบปรับอากาศแบบแยกโซนซ้าย-ขวา พร้อมกรองอากาศ PM2.5, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า, นาฬิกาแบบคลาสสิก สำหรับกลุ่มเป้าหมายของรุ่น 500 นี้จะอยู่ในช่วงอายุ 41-50 ปี ที่ใช้ชีวิตทำงานในเมือง แต่ก็ชื่นชอบการเดินทางใกล้ชิดกับธรรมชาติ และแนะนอนต้องมีกำลังซื้อพอพี่จะจ่ายด้วย
 
ราคา
500 Pro ราคา 2,049,000 บาท
500 Ultra ราคา 2,269,000 บาท

HAVAL
อีกหนึ่งในแบรนด์ย่อยของ GWM โดยนับตั้งแต่ที่ GWM ประกาศเดินหน้าทำธุรกิจในประเทศไทย ก็ได้แนะนำรถ HAVAL และ ORA ลงสู่ตลาด โดยแบรนด์ HAVAL ทำให้กระแสของรถอเนกประสงค์นั้นเติบโตจากการที่ลูกค้าได้ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณภาพของตัวรถ, ดีไซน์, สมรรถนะการขับขี่, เทคโนโลยี ที่ทำให้รู้สึกคุ้มค่า ทำให้ไม่ว่าจะเป็น H6 หรือ JOLION สามารถชนะใจได้ไม่ยาก ส่งผลถึงความนิยมที่มีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
 
H6 ในปัจจุบันนี้จำหน่ายในรุ่น H6 HEV Ultra ที่มากับแนวคิด Dare To Be Elite (กล้าเปลี่ยนเพื่อชีวิตที่เหนือระดับ) ภายนอกมากับดีไซน์ด้านหน้าใหม่แบบ Star Matrix ที่เพิ่มมิติให้ดูล้ำสมัย ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่สีโครเมียม ไล่ระดับช่องระบายอากาศอย่างมีมิติ และเพิ่มระบบประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรี โดยมากับความสูงใต้ท้องรถที่ 175 มิลลิเมตร ส่วนไฟหน้าเป็น Intelligent LED ให้ความสว่างแบบ Ultra-High Flow และให้ความปลอดภัยในทุกเส้นทางด้วยระบบอัจฉริยะมากมาย, หลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ถึง 1.2 ตารางเมตร, ล้ออัลลอยลายสปอร์ต ขนาด 19 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร (1,499 ซีซี) ให้กำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 177 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร ทำให้มีกำลังรวม 243 แรงม้า แรงบิด 530 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ DHT กับโหมดการขับขี่ 4 แบบ ด้านระบบความบันเทิงจะมากับหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ที่ปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ กับลำโพง 8 ตำแหน่งพร้อม Treble Woofer และ DTS รองรับ Bluetooth, MP3, รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน (Apple Carplay, Andriod Auto) พร้อมแอปพลิเคชันอัจฉริยะอีกหลายรายการ รวมถึงระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทำให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัวได้อย่างสบาย ๆ
 
ราคา
H6 HEV Ultra 1,349,000 บาท
 
นอกจากนี้ H6 ยังมีอีกรุ่นที่เป็นระบบ Plug-In Hybrid (PHEV) ที่มีพิ้นฐานเดียวกันกับ H6 HEV แต่ความสูงใต้ท้องรถถูกลดลงเหลือ 170 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร (1,499 ซีซี) ให้กำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 177 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร ให้กำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิด 530 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ DHT แต่จุดที่แตกต่างกับ H6 HEV ก็คือมีแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบลิเธียม Ternary ความจุ 34 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ประเภทหัวชาร์จ CCS Type 2 Combo) ส่วนระบบความปลอดภัยจัดให้เต็มที่ การออกแบบภายนอกและภายในนั้นไม่ต่างจาก H6 เท่าไรนัก อาจจะมีบ้างในรายละเอียด แต่ที่สำคัญคือ H6 PHEV จะวิ่งได้ด้วยไฟฟ้า 100% หรือ EV ได้ระยะทางสูงสุด 201 กิโลเมตร/การชาร์จ 1 ครั้ง ถ้าคุณยอมจ่ายแพงกว่า 3.5 แสนบาท
 
ราคา
H6 PHEV Ultra 1,699,000 บาท


นอกจากนี้ HAVAL ยังมี Jolion ที่ล่าสุดได้ส่ง Sport เข้าสู่ตลาดเสริมความสวยงามด้วยกระจังหน้า Black Symmetric ดีไซน์ใหม่สีดำล้วนกับโลโก้ HAVAL ส่วนท้ายมีดิฟฟิวเซอร์ดีไซน์ใหม่ และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้วสีดำล้วน และอุปกรณ์ตกแต่งแบบ ALL BLACK ที่กระจกมองข้าง, Roof Rail และ Shark Fin ช่วยขับให้ดูสวยดุ, สปอร์ตมากขึ้น แต่ก็มีรุ่นย่อย Ultra ให้เลือกด้วย โดยทั้ง 2 รุ่นมากับความสูงใต้ท้องรถที่ 168 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร (1,497 ซีซี) ให้กำลัง 95 แรงม้า แรงบิด 125 นิวตันเมตร ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 156 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ทำให้มีกำลังรวม 190 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ DHT สำหรับการออกแบบภายนอกให้อุปกรณ์ที่ทันสมัยทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ ไฟหน้า FULL LED พร้อม Daytime Running Light ไฟท้าย LED พร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ฝั่งคนนั่งปรับมือ 4 ทิศทาง, พวงมาลัยปรับได้แค่ขึ้น-ลง กระจกมองหลังปรับลดแสงด้วยมือ เบาะผุ้โดยสารหลังไม่มีที่เท้าแขน แต่สามารถพับได้ 60 : 40 แบนราบพื้นที่ท้ายรถกว้างแต่ตื้นเพราะมีแบตเตอรี่ข้างใต้ และฝาท้ายสวิตช์ไฟฟ้าแต่เปิดด้วยมือ ถือว่าออปชันใช้งานพื้นฐานเพียงพอแล้ว ส่วนที่จะแตกต่างก็คือระบบที่เกี่ยวกับความสะดวกสบาย,แอปพลิเคชันอัจฉริยะ และเทคโนโลยีความปลอดภัย ในรุุ่น Sport จะให้มาน้อยกว่า Ultra เนื่องจากเป็นรถที่มีราคาถูกกว่า รวมถึงหน้าจอของระบบความบันเทิง รุ่น Ultra จะได้ 12.3 นิ้ว แต่ Sport จะได้ 10.25 นิ้ว
 
ราคา
Jolion Sport ราคา 799,000 บาท
Jolion Ultra ราคา 999,000 บาท


Honda
รถอเนกประสงค์จากทาง Honda นั้นมีให้เลือกหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น CR-V ยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมเอสยูวี ที่สมบูรณ์แบบ เหนือกว่าด้วยการขับเคลื่อนทุกจุดหมายด้วยขุมพลัง e:HEV และ เทอร์โบ, WR-V ยนตรกรรมเอสยูวี ที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยว พร้อมลุยได้ทุกไลฟ์สไตล์ทั้งในเมือง และนอกเมือง พร้อมพื้นที่กว้างขวางจัดเต็มได้ทุกกิจกรรม, BR-V รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมความสะดวกสบายและสมรรถนะที่ดีเยี่ยมตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เพื่อทุกคนในครอบครัว และ HR-V e:HEV สปอร์ตพรีเมียมเอสยูวี ที่มาพร้อมขุมพลังฟูลไฮบริดและเทคโนโลยีอันล้ำสมัย โดดเด่นด้วยดีไซน์ พื้นที่อเนกประสงค์ และฟังก์ชันที่ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์ เรียกว่า 4 รุ่น 4 สไตล์
 

CR-V มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งแบบ 5 และ 7 ที่นั่ง และมีเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก นั่นคือ เครื่องยนต์ฟูลไฮบริด 2.0 ลิตร (1,993 ซีซี) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) ให้กำลังรวม 207 แรงม้า กับแบตเตอรี่ลิเธียมไออน กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) ทำให้ได้อัตราการสิ้นเปลืองถึง 20.8 กิโลเมตร/ลิตร (รุ่นย่อย e:HEV ES) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 113 กรัม/กิโลเมตร และเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร (1,498 ซีซี) ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Direct Injection และ Turbocharger ทำให้ขับสนุก และเร่งได้ทันใจด้วยกำลัง 190 แรงม้า กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) โดยทั้ง 2 แบบจะมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (AWD) และขับเคลื่อน 2 ล้อ ส่วนความสูงใต้ท้องรถจะอยู่ระหว่าง 198-208 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) ที่สำคัญ CR-V โฉมนี้นั้นจะมากับ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ส่วนระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบ Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto ถูกใจรุ่นไหนเลือกได้เลย
 
ราคา
CR-V E ราคา 1,419,000 บาท
CR-V ES 4WD ราคา 1,599,000 บาท
CR-V EL 4WD ราคา 1,649,000 บาท
CR-V e:HEV ES ราคา 1,589,000 บาท
CR-V e:HEV RS 4WD ราคา 1,729,000 บาท
 
WR-V เป็นรุ่นที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบรับความนิยม, ความต้องการรถยนต์ในกลุ่มรถอเนกประสงค์ที่จะมาเติมเต็มความต้องการที่หลากหลาย และไลน์อัพของ Honda ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยดีไซน์สปอร์ต และให้ความรู้สึกพรีเมียม, ทันสมัย ตามสไตล์ชีวิตยุคใหม่ พร้อมห้องโดยสารกว้างขวาง โดยเบาะนั่งด้านหลังแถว 2 สามารถปรับพับได้ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้เพิ่มมากขึ้น ขับสนุกได้ทุกเส้นทางด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC (1,498 ซีซี) กับเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบ Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shift ให้กำลัง 121 แรงม้า แรงบิด 145 นิวตันเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองที่ 16.7 กิโลเมตร/ลิตร ขับขี่ปลอดภัยมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ HONDA SENSING ในทุกรุ่นย่อย และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอื่น ๆ ที่พร้อมตอบทุกการใช้งานที่หลากหลายตอบรับทุกวิถีชีวิตยุคใหม่ ด้านระบบเครื่องเสียงเป็นหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ให้คุณได้มีวันพิเศษที่สร้างเองได้ทุกวัน พร้อมรองรับการเดินทางในทุกเส้นทางด้วยความสูงใต้ท้องรถถึง 220 มิลลิเมตร
 
ราคา
WR-V SV ราคา 799,000 บาท
WR-V RS ราคา 869,000 บาท


BR-V เป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 2 พร้อมตอบสนองความต้องการที่หลากหลายด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ทั้งยังผสานความแกร่ง ได้อย่างลงตัวในทุกมิติ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC (1,498 ซีซี) ให้กำลัง 121 แรงม้า แรงบิด 145 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ทั้งยังเสริมความมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยระบบ HONDA SENSING ในทุกรุ่นย่อย สำหรับความสูงใต้ท้องรถในรุ่นนี้จะอยู่ที่ 209 มิลลิเมตร (พอ ๆ กับ CR-V แต่น้อยกว่า WR-V) ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย เบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่ 2 และแถว 3 สามารถปรับพับได้หลายรูปแบบช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้หลากหลายรูปแบบ พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย และระบบเครื่องเสียงเป็นหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
 
ราคา
BR-V E ราคา 915,000 บาท (Taffeta White), 921,000 (Crystal Black)
BR-V EL ราคา 973,000 บาท (Crystal Black), 977,000 (Premium Sunlight)
 
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ไมเนอร์เชนจ์ ยกระดับความคุ้มค่าอีกขั้น พร้อมอัปลุคความสปอร์ตพรีเมียมทั้งภายนอกโดดเด่นด้วยการออกแบบด้านหน้าดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมกับกระจังหน้าใหม่ ที่สะท้อนความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น และภายในสะดวกสบายทุกที่นั่ง พร้อมเพิ่มเติมฟังก์ชันการใช้งานใหม่ในทุกรุ่นย่อย และเพิ่มเติมหลากหลายฟังก์ชันเพื่อตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่หลากหลายได้อย่างลงตัว ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่มอบสมรรถนะทรงพลังจากการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ในระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองทันใจ มั่นใจในทุกการออกตัวกับแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมสูงสุดถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร ให้คุณก้าวสู่ทุกจุดหมายได้อย่างอิสระ พาคุณไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร ด้วยน้ำมันเพียง 1 ถัง ด้วยราคาประมาณการ ทั้ง 3 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่
รุ่น e:HEV E ขยายฐานลูกค้าไปหลากหลายกลุ่ม เพื่อให้เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น คุ้มค่า ด้วยราคาแนะนำช่วงเปิดตัว เพียง 89X,XXX บาท จำนวนจำกัด เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2567 – 31 ธันวาคม 2567
รุ่น e:HEV EL เพิ่มฟังก์ชันที่เติมเต็มทุกการใช้งาน ด้วยราคาประมาณการ 1,0XX,XXX บาท
รุ่น e:HEV RS ดีไซน์เอกซ์คลูซิฟ พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน ด้วยราคาประมาณการ 1,1XX,XXX บาท
เตรียมพบกับการประกาศราคาและเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ผ่านทาง LIVE ถ่ายทอดสดออนไลน์ทางออฟฟิเชียลแอ็กเคานต์ ‘Honda Thailand’ ในช่องทาง Facebook, YouTube Channel, TikTok และ Instagram ตั้งแต่เวลา 12:45 น. เป็นต้นไป พร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสทั้งที่บูทฮอนด้า ในงาน Motor Expo 2024 และที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ
 
 
ราคา
HR-V e:HEV E ราคา 89X,XXX บาท
HR-V e:HEV EL ราคา 1,0XX,XXX บาท
HR-V e:HEV RS ราคา 1,1XX,XXX บาท
 
HYUNDAI

CRETA เป็นรถอเนกประสงค์แบรนด์เกาหลีที่นำมาจำหน่ายในไทย โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ดูสปอร์ต พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่มอบความสนุก เพลิดเพลิน ในการใช้งานที่หลากหลาย ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว ส่วนชื่อ CRETA นี้มาจากชื่อของหมู่เกาะครีต ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยได้รับการออกแบบให้เน้นไปที่ความแข็งแกร่ง และนำสมัย ขณะเดียวกันออฟชั่นรวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตอบโจทย์ของการใช้งานของลูกค้า ด้วยกระจังหน้า Parametric Jewel Radiator Grille และล้ออัลลอยแบบ Diamond cut ขนาด 17 นิ้วให้ความรู้สึกสปอร์ต มีมิติ กลมกลืนไปกับรูปลักษณ์ทั้งหมดของตัวรถ ส่วนภายในออกแบบเน้นความพรีเมียมและร่วมสมัยถ่ายทอดความพรีเมียม บริเวณด้านหน้าแผงหน้าปัดแนวยาวเชื่อมต่อไปกับแผงด้านข้างประตูเสมือนปีกที่โค้งรับกัน ช่วยโอบอุ้มผู้โดยสาร บริเวณแผงด้านหน้าติดตั้งหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วรองรับ Android Auto และ Apple Carplay นอกจากนี้ยังถูกออกแบบด้วยการใส่ใจในรายละเอียดทุกด้าน ทำให้รถยนต์รุ่นนี้มีความพิเศษมากขึ้น พร้อมขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Smartstream 1.5 MPI (ขนาด 1,497 ซีซี) ที่ให้กำลัง 115 แรงม้า แรงบิด 144 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Intelligent Variable Transmission (IVT) และมีระยะต่ำสุดจากพื้นถึง 200 มิลลิเมตร (แม้จะเปิดรับจอง Santa Fe รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง พร้อมเปิดราคาแต่ที่ไม่เอาใส่นั้นเพราะหน้าเว็บไซต์ของทาง Hyundai ไม่มีข้อมูลอยู่)
 
ราคา
Creta Style ราคา 849,000 บาท
Creta Style Smart ราคา 899,000 บาท
Creta Style Plus ราคา 899,000 บาท
Creta Alpha ราคา 929,000 บาท